xs
xsm
sm
md
lg

มือปราบเฟกนิวส์ "พุทธิพงษ์" รมว.ดิจิทัลฯ งานชุกในยุคที่ไวรัล ร้ายกว่าไวรัส ** "ทีมองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่" หวังทำผลงานเบิกทางสู่เก้าอี้รัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าเสร็จศึกซักฟอก คิวต่อไปคือปรับครม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


**มือปราบเฟกนิวส์ "พุทธิพงษ์" รมว.ดิจิทัลฯ งานชุกในยุคที่ไวรัล ร้ายกว่าไวรัส ลุยหนักจับข่าวปลอมโคโรนา

ว่ากันว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ"ไวรัสโคโรนา" ว่าน่าหวาดหวั่นแล้ว "ไวรัล" ข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ ที่ระบาดหนักกลับน่ากลัวกว่าหลายเท่า

ท่ามกลางความพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การหยุดยั้ง"เฟกนิวส์" ที่ออกมาสร้างความสับสน ความเข้าใจผิดๆ และซ้ำเติมสถานการณ์ ก็นับว่าสำคัญมากเช่นกัน...

เบื้องหลังการจับเฟกนิวส์ ไม่ใช่งานง่ายๆ

"พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์" รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ตอนนี้ต้องบอกว่า สวมบท "มือปราบเฟกนิวส์" เต็มๆ ถือเป็น รมว. ที่งานชุกคนหนึ่ง พอๆกับ "หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองฯนายก และรมว.สาธารณสุข

ที่ว่า มือปราบเฟกนิวส์ มีงานชุก เพราะไม่รู้ "มือปล่อยข่าวปลอม" จะปล่อยออกมาช่วงเวลาไหน และบางครั้งก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

ยกตัวอย่างวันก่อน มือปล่อยๆข่าวปลอมเรื่องไวรัสโคโรนา วันเดียวถึง 6 จุด พบที่ อ.ราชสาส์นฉะเชิงเทรา 1 จุด , อ.เมืองกาญจนบุรี 2 จุด , อ.ธัญบุรี ปทุมธานี 1จุด , สมุทรปราการ 1 จุด และปทุมธานี 1 จุด

เจ้าหน้าที่ดีอีเอส เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขออนุมัติหมายศาลเข้าตรวจค้นบุคคลต้องสงสัยเบื้องต้น สามารถจับผู้โพสต์ได้แล้ว 4 ราย ซึ่งทั้ง 4 ราย ปอท.จะนำมาดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

จุดที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ไปลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา ฟังว่า เป็นจุดที่มีผู้โพสต์ เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการปล่อยข่าวปลอมประเด็น "ไวรัสโคโรนา" โดยระบุว่า "บรรเทิง มีผู้ป่วยติดเชื้อโคโรน่า กำลังเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลพุทธโสธร อืม..แล้วมาพักอยู่หน่วยมะเร็งวิทยา ไหนว่าเอาอยู่ ไหนว่าคุมได้ ขอกลับบ้านก่อนเด้อ ค่อยมาฮอด ข้อยผ่าน" ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

จากการสอบปากคำในเบื้องต้น บุคคลต้องสงสัยยอมรับว่า เป็นคนที่เผยแพร่ข้อความดังกล่าวจริง

พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
เรื่องนี้ทำให้สังคมเชื่อมั่นได้ว่า การตรวจจับเฟกนิวส์ ของกระทรวงดีอีเอส ทำจริง ตรวจสอบได้จริง และทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่"เสือกระดาษ" เอาไว้ขู่พวกป่วนบ้านป่วนเมืองเท่านั้น

แว่วว่า "รมว.พุทธิพงษ์" จะมีมาตรการจัดหนักขึ้นไปอีก เพราะเฟกนิวส์ยิ่งมา ยิ่งพัฒนามากขึ้น ไปถึงขั้นตัดต่อคลิป แต่งภาพ แต่งเสียง เรียกว่าทำให้น่าเชือถือ เอาเรื่องจริงมาผสมเรื่องปลอมในเชิงลึกยากจะตรวจสอบมากขึ้น

ถ้าไม่หยุดเฟกนิวส์ สังคมก็จะอยู่ยาก

"รมว.พุทธิพงษ์" บอกว่า เราทำจริง ตรวจสอบได้จริง ทำอย่างจริงจัง ข่าวไม่จริงที่ถูกแชร์ออกไป ไม่เพียงเสียหายในวงแคบ แต่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ภาคการลงทุน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้ในเวลาอันสั้น จะสะท้อนถึงรายได้ รายรับ เศรษฐกิจของประเทศ ในข่าวปลอมเราต้องทำอย่างเต็มที่ ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน โดยเรารวบรวมข้อมูลทั้งหมดผ่านทางช่องทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ที่พี่น้องประชาชนส่งข้อมูลเข้ามา ซึ่งเน้นการทำงานจริงจัง บังคับใช้กฎหมาย ประชาชนช่วยกัน ดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย

งานนี้ก็ต้องขอชื่นชมความตั้งใจของกระทรวงดิจิทัลฯ กับบทบาทปราบปรามเฟกนิวส์ และเจ้าหน้าที่ ที่ปิดทองหลังพระทั้งหลาย

แน่นอนว่า คนในสังคมก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันด้วย...ร่วมกันต่อต้านข่าวปลอม.

** "ทีมองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่" คึกคักเป็นพิเศษ หวังทำผลงานให้เข้าตา เพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่เก้าอี้รัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าเสร็จศึกซักฟอก คิวต่อไปคือปรับครม.

อนุชา นาคาศัย - สุชาติ ชมกลิ่น
การเมืองเข้าสู่โหมดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดย "วิป3 ฝ่าย" หารือกันแล้ว เคาะออกมาว่าเป็นวันที่ 24-26 ก.พ. และลงมติกันในวันที่ 27ก.พ.

แม้ว่าในญัตติของฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายรัฐมนตรีไป 6 คน ซึ่งเป็นคนของพรรคพลังประชารัฐทั้งหมด แต่เป้าหมายหลักก็คงหนีไม่พ้น "พี่น้อง3ป." ที่เป็นศูนย์กลางอำนาจ โดยเฉพาะ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล

ความเคลื่อนไหวในส่วนของส.ส.พลังประชารัฐ จึงคึกคักเป็นพิเศษ ที่จะเตรียมข้อมูลไว้ชี้แจง ตอบโต้ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะบทบาทการเป็น"องครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่” ... เพราะเชื่อมั่นว่าเมื่อเสร็จศึกอภิปรายฯ สิ่งที่จะตามมาคือการปรับครม. คนที่ทำผลงานได้เข้าตา ก็มีโอกาสได้ขึ้นชั้นเป็น"เสนาบดี"

ที่มีการเปิดเผยตัวออกมาแล้วจากปากของ "วิรัช รัตนเศรษฐ" ประธานวิปรัฐบาลก็คือจะมีการตั้งคณะทำงานที่เรียกว่า "ทีมอ.ส.ว." ซึ่งทีมอ.ส.ว.นี้ ยังแบ่งเป็นทีมย่อยตามภารกิจคือ "ทีมอ." จะมี "เสี่ยแฮงค์" อนุชา นาคาศัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในการประสานงาน ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับคณะรัฐมนตรี ที่จะมาช่วยชี้แจงในส่วนถูกอภิปรายพาดพิงไปถึง

"ทีม ส." มี "เสี่ยเฮ้ง" สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และเป็นประธานส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวหน้าทีม รับผิดชอบประสานพรรคเล็ก และ ทีมดาวยั่วทั้งหมด ในการเบรกเกมและตอบโต้ฝ่ายค้าน

ส่วน"ทีมว." ก็มี "วิรัช รัตนเศรษฐ" เป็นหัวหน้าทีม รับหน้าที่ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และทีมในพรรคร่วมรัฐบาล อย่างเช่น ทีมของ "เทพไท เสนพงศ์" จากพรรคประชาธิปัตย์ ทีม "ชาดา ไทยเศรษฐ์ และศุภชัย ใจสมุทร" จากพรรคพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น และ"ทีม ว." ยังมีหน้าที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาคือ การเตรียมข้อมูลสำหรับ"บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไว้สำหรับอภิปราย ชี้แจง ตอบโต้ โดยเฉพาะ

สุวิทย์ เมษินทรีย์ – สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
นอกจากนี้ ยังมีทีมของ "แรมโบ้อีสาน" สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมรวบรวม อดีตส.ส. ตั้งวอร์รูมนอกสภาฯ เพื่อพิทักษ์รัฐมนตรีด้วยอีกแรงหนึ่ง

นั่นเป็นเรื่องการรับมือระหว่างการอภิปราย

ส่วนในช่วงของการโหวตนั้น งวดนี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะรัฐบาลพ้นปัญหา "เสียงปริ่มน้ำ"ไปแล้ว และพรรคร่วมรัฐบาลต่างออกมายืนยันแล้วว่า นอกจากจะเตรียมข้อมูลพร้อมเสิร์ฟให้“บิ๊กตู่”และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ถูกลากขึ้นเขียงแล้ว ยังมีการกำชับ คาดโทษ ส.ส.ลูกพรรค ต้องมีความเป็นเอกภาพ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ใครแตกแถว ออกนอกลู่นอกทาง ไปโหวตสวน หรืองดออกเสียง เป็นได้เจอดี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ "เป็นข้อกล่าวหาเชิงทุจริต" หากมีการแตกแถว อาจถึงขั้นพังกันไปทั้งพรรคได้...

เมื่อเสร็จศึกอภิปรายแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิว"ปรับครม."

ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างประชาธิปัตย์ หรือภูมิใจไทยนั้น ไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นเรื่องภายในพรรค จะปรับ จะเปลี่ยนหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องตกลงภายในกันเอง...

แต่ที่จะกระเพื่อม ก็ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐนี่แหละ เพราะโครงสร้างภายในประกอบด้วยหลายกลุ่ม รวมทั้ง "โควต้าลุงตู่" ไหนจะยังมีพรรคเล็กที่มารวมตัวกัน เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำอีก ตรงนี้เป็นเรื่องชวนปวดหัวที่จะต้องปรับเกลี่ยกันใหม่...เพราะคนรอเข้า คิวยาว...

ที่เห็นชัดๆ ก็อย่าง“เสี่ยเฮ้ง”สุชาติ ชมกลิ่น ที่คุมทีม ส.ส.ภาคตะวันออก ก็เคยติดโผรัฐมนตรี รอบแรกมาแล้ว แต่จำนวนที่นั่งในที่ประชุมครม.ไม่พอ "บิ๊กป้อม" ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เลยมอบตำแหน่ง"ประธานส.ส.พรรค" ปลอบใจไปพลางก่อน รอบนี้น่าจะถึงคิวเสียที ... หรืออย่าง "เสี่ยแฮงค์" อนุชา นาคาศัย ก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้มีข่าวจะเข้ามานั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค แทน "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" มาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะถ้าขึ้นชั้นเป็นเลขาธิการพรรคก็ต้องมีเก้าอี้รัฐมนตรีไว้รองรับด้วย


ยังมีกลุ่ม "สามมิตร" ที่มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เป็นแกนนำ ก็เพิ่งระดม ส.ส. เกือบ 50 คน มากินข้าว"โชว์พลัง" โดยมี "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี และ "อุตตม สาวนายน" รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรค มาร่วมแจมด้วย ... เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดจากเก้าอี้

แน่นอนว่า การมาของ "เสี่ยเฮ้ง - เสี่ยแฮงค์" ย่อมต้องมีคนหลุดเพื่อเปิดทาง คนที่อยู่ในข่ายที่น่าจะต้อง"เสียสละ" จึงน่าจะเป็น "ดอน ปรมัตถ์วินัย" รมว.การต่างประเทศ คนในโควตาบิ๊กตู่ ที่เสร็จภารกิจการประชุมสุดยอดอาเซียนไปแล้ว ... หรืออย่าง "สุวิทย์ เมษินทรีย์" รมว.การอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ที่คนในพรรคเห็นว่าได้ตอบแทนกันมาหอมปากหอมคอแล้ว

อีกหนึ่งคน ยังต้องลุ้น อย่างน่าหวาดเสียว เพราะเคยถูกแซะมาตลอด ก็คือ "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค...โดยเฉพาะในวันที่กลุ่มสามมิตร กินข้าวโชว์พลัง มีทั้ง "สมคิด" และ "อุตตม" ไปร่วมด้วย โดยไม่มี "สนธิรัตน์" จึงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกต


ยิ่งมีกระแสว่า "บิ๊กป้อม" ต้องการดัน "เสี่ยแฮงค์" นั่งเลขาธิการพรรคคนใหม่ ด้วยแล้ว จึงน่าเป็นห่วง ...ก็ขอแนะนำว่า "สนธิรัตน์" ต้องรีบไปหากาวมาติดก้น ไว้แต่เนินๆ



กำลังโหลดความคิดเห็น