xs
xsm
sm
md
lg

โรคระบาดที่เปลี่ยนโลก / บทความพิเศษ โดย ดร. เสรี พงศ์พิศ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บทความพิเศษ โดย ดร. เสรี พงศ์พิศ 

มีโรคระบาดระดับ “ยักษ์” อย่างน้อย 5 โรค ที่ “เปลี่ยนโลก” ในประวัติศาสตร์ ได้แก่ กาฬโรค (plague) อหิวาตกโรค (cholera) ไข้ทรพิษ (small pox) ไข้หวัดใหญ่ (influenza-flu) และเอชไอวี เอดส์ (HIV/AIDs)

1.กาฬโรค (plague หรือ peste ในภาษาฝรั่งเศส) เป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (Yersinia pestis) ที่มาจากสัตว์อย่างหนูและหมัดแพร่ไปสู่คน และคนสู่คน มีอาการแตกต่างกันไป เป็นไข้ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต โลหิตเป็นพิษ ปอดบวม ระบาดในยุโรปที่มีการบันทึกตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนในอาณาจักรโรมัน ระหว่างศตวรรษที่ 4 ถึงที่ 6 มีคนตาย 50 ล้านคน แต่ที่พูดถึงมากที่สุดในยุคกลาง ศตวรรษที 14 ที่เรียกกันว่า Black Death หรือ ความตายสีดำ (มรณกาฬ) ที่มีการระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรคทั่ว “ยุโรป” มีคนตาย 50 ล้านคน ว่ากันว่า กาฬโรคชุดนี้มาจากเอเชีย จากจีนที่ไปพร้อมกับการค้าขาย

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่จดจำกันมาก คือ การระบาดของกาฬโรคที่ลอนดอนเมื่อปี 1665 ทำให้ประชากร 20% เสียชีวิต มีการฆ่าหมาและแมวหลายแสนตัวที่เข้าใจว่าเป็นพาหะนำโรค เป็นระยะเดียวกับที่เกิดไฟไหม้กรุงลอนดอนครั้งใหญ่ (กันยายน 1666) ที่แทบจะวอดวายไปทั้งเมือง

ในเอเชียก็มีการระบาดหนักในปี 1855 เริ่มที่จีน จากหมัดในเหมืองยูนนานไปอินเดีย ฮ่องกง มีคนตาย 15 ล้านคน

แม้ว่าปัจจุบันจะมียาปฏิชีวนะและวัคซีน แต่กาฬโรคก็ยังไม่ได้หมดไป ทุกปีจะเกิดโรคนี้ประมาณ 600 กรณี ที่น่ากลัว คือ การพัฒนาให้เป็นอาวุธชีวภาพ อาวุธเชื้อโรค ผู้ผลิตคือประเทศมหาอำนาจในอเมริกา ยุโรป เอเชีย ซึ่งว่ากันว่าเคยใช้มาแล้วในสงครามหลายครั้ง

(จนมีผู้สงสัยใน “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่า โคโรนาไวรัสที่กำลังระบาดหนักวันนี้เป็นอาวุธชีวภาพของบางประเทศที่ตัดต่อพันธุกรรมหรือไม่)

2. อหิวาตกโรค (cholera) แม้ว่าจะมีโรคนี้มาหลายศตวรรษ แต่ที่ระบาดรุนแรงไปทั่วโลกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีมานี้ถึง 7 ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะที่อินเดีย ที่แพร่ไปโดยบรรดาเจ้าอาณานิคมในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1961 ที่อินโดนีเซีย

ความจริง มีบันทึกไว้ว่าเริ่มต้นที่รัสเซียเมื่อ 200 ปีก่อน จากนั้นทหารอังกฤษนำไปแพร่ที่อินเดีย จากการระบาดที่อินเดีย 3 ครั้งแรก ทำให้มีคนตาย 15 ล้าน 3 ครั้งหลังตาย 23 ล้าน ส่วนในรัสเซีย 2 ล้านคน

3.ไข้ทรพิษ หรือฝีดาษ (small pox) เป็นโรคระบาดที่น่ากลัว เพราะคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดก็ว่าได้ เป็นไวรัสชนิดหนึ่ง ไม่ทราบที่มา แต่ระบาดหนักในยุโรป ในศตวรรษที่ 18 ทุกปีมีคนตายด้วยไข้นี้ 400,000 คน ศตวรรษที่ 20 มีคนตายด้วยไข้ทรพิษ 300 ล้านคน รวมแล้วประมาณ 500 ล้านคนในระยะ 100 ปีที่โรคนี้ระบาดไปทั่วโลก ได้มีการพัฒนาวัคซีนมาตั้งแต่ 1798 แม้ว่าจนถึงปี 1967 โรคนี้ยังมีคนเป็นถึงปีละ 15 ล้านคน แต่องค์การอนามัยโลกก็ได้ทุ่มเทต่อสู้จนสามารถกำจัดโรคนี้หมดไปเมื่อปี 1980 ที่มีการประกาศเป็นทางการ

โรคนี้ร้ายแรงและเปลี่ยนโลกอย่างไร ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในศตวรรษที่ 16-17 เมื่อสเปนไปครอบครองแม็กซิโกนั้น ทหารที่ป่วยได้นำไข้ทรพิษและโรคระบาดร้ายแรงอย่างกาฬโรค โรคหัด และอื่นๆ ไปแพร่ให้คนพื้นเมืองเผ่าอัสเต็ค จนเจ็บป่วยล้มตายแทบจะสูญพันธุ์

บางรายงานบอกว่า ก่อนสเปนไปนั้นมีชนเผ่านี้อยู่ 30 ล้านคน ต่อมาตายด้วยโรคระบาดที่คนผิวขาวนำไปแพร่จนเหลือเพียง 3 ล้านคน อาณาจักรอัสเต็คอันยิ่งใหญ่จึงล่มสลายด้วยเหตุดังนี้

รวมทั้งชนเผ่ามายาและอื่นๆ ในประเทศอื่นๆ ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน ไม่เพียงแต่อาณาจักรที่ล่มสลาย แต่ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาก็พลอยสูญหายไปด้วย เพราะไม่มีผู้ถ่ายทอดสืบทอด ทิ้งไว้แต่โบราณสถานที่สะท้อนถึงความศิวิไลซ์ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ใช้ปัญญาเพื่อผลิตอาวุธที่ร้ายแรงเท่าผู้รุกรานเท่านั้น

ในสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน งานวิจัยปี 2019 บอกว่า ในศตวรรษที่ 16-17 คนพื้นเมืองในอเมริกาตายไป 56 ล้านคน ส่วนใหญ่ตายเพราะโรคระบาดที่คนผิวขาวผู้มาใหม่นำไปให้ อย่างในปี 1770 ไข้ทรพิษคร่าชีวิตของคนพื้นเมืองอเมริกันในภาคตะวันตกไปถึงร้อยละ 30 วันนี้จึงยังมีชนเผ่าพื้นเมืองเหลือน้อย เพราะไม่สูญพันธ์ก็กลายพันธุ์ หรือถูกกลืนพันธุ์

4.โรคไข้หวัดใหญ่ (flu) รวมทั้งโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และ 5.เอชไอวีเอดส์ ได้เขียนถึงไปแล้ว

ในยุโรปยังมีอีก 2 โรคระบาดที่แพร่ไปแบบ “เงียบๆ” คือ โรคเรื้อนที่ระบาดหนักในศตวรรษที่ 11 และยังหลงเหลือและระบาดไปในประเทศอาณานิคมต่างๆ และ “โรคซิฟิลิส” ที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และยังส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้ มี “ญาติ” ที่ร้ายกาจกว่ามากที่ตามมา ชื่อ “เอชไอวี เอดส์”

ในประเทศไทยมีบันทึกโรคระบาดตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาถึงรัชกาลที่ 5 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่เรียกโรคระบาดแบบรวมๆ ว่า “โรคห่า” ซึ่งน่าจะรวมทั้งกาฬโรคและอหิวาตกโรค ขณะที่ไข้ทรพิษนั้นก็ระบาดมาก ไม่เลือกไพร่หรือเจ้า มีบันทึกว่า ในสมัยพระเพทราชา ตอนปลายกรุงศรีอยุธยา มีคนตายเมื่อ “ห่าลง” ถึง 8 หมื่นคน ต้นรัตนโกสินทร์ก็เกิดโรคระบาดมาก โดยเฉพาะอหิวาตกโรค

โรคระบาดหนักแต่ละครั้งส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคมโดยรวม เมื่อประชากรลดลง แรงงานน้อยลง การผลิตต่างๆ ต้องหยุดไปบางครั้งเป็นเวลานาน หรือเลิกไปเลย ความรู้ภูมิปัญญาจำนวนมากก็หายไป ไม่มีการถ่ายทอดสืบทอด กว่าจะพัฒนาความรู้ใหม่บางอย่างก็ต้องใช้เวลาอีกนาน

โรคระบาดได้เปลี่ยนโลก เปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก ด้านหนึ่งได้กระตุ้นให้มีการค้นคว้าวิจัยการป้องกัน การรักษา ยา วัคซีน การกินการอยู่ อนามัย สาธารณสุข อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ได้หยุดคิดคำนึง ลดความอหังการลงบ้าง ไม่ทะนงตนเป็นเจ้าผู้ครองโลกที่ทำอะไรได้ตามใจชอบ เพราะขณะที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหามลภาวะที่เกิดจากผลผลิตทางปัญญาของตนเอง ยังเกิดมลพิษทั้งทางอากาศ (ที่เต็มไปด้วยหมอกควันและฝุ่น) ทางดิน (ที่ตายไปเพราะสารพิษ) ทางน้ำ (ที่เน่าเสีย) แม้แต่ในทะเลก็เต็มไปด้วยขยะและพลาสติก

คนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษแบบนี้จะอยู่รอดปลอดภัยและเป็นสุขได้อย่างไร คนนี่เองที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคระบาดทั้งหลาย

ขณะที่ด้านหนึ่งก็สามารถควบคุมโรคระบาด โรคติดต่อได้ แต่ก็ก่อให้เกิด “โรคไม่ระบาด” “โรคไม่ติดต่อ” ใหม่ๆ (NCDs) เกิดขึ้น (เอง) มากมายอย่างมะเร็ง หัวใจ เส้นเลือดสมองตีบตัน เบาหวาน ความดัน ไขมัน และอื่นๆ ที่เรามักเรียกว่าเป็นโรคที่มาพร้อมกับความเจริญ แต่ที่จริงเป็น “ความทันสมัยที่ไม่พัฒนา” มากกว่า

ตกลง “โรคระบาด” กับ “โรคไม่ระบาด” (NCDs) อะไรร้ายกว่ากัน


กำลังโหลดความคิดเห็น