ไหนๆ ก็ลากยาวว์ว์ว์เรื่องการแพร่ระบาดของ “ไวรัสอู่ฮั่น” มาแทบตลอดทั้งสัปดาห์...แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าผู้คนในบ้านเรา หรือในระดับโลก ก็ยังน่าจะไม่หาย “หูแหก-ตาแหก” กับเรื่องราวทำนองนี้ ด้วยเหตุนี้...ปิดฉากสัปดาห์นี้ ก็ลองว่ากันแบบให้หมดไส้ หมดพุง ไปเลยน่าจะเหมาะกว่า เผื่อว่าจะได้สิ้นเรื่อง สิ้นราว หมดเรื่อง หมดราว กันไปซะที...
คือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า เรื่องของโรคระบาดเมืองจีน หรือเมืองอู่ฮั่น อันถือเป็นจุดศูนย์กลางของการระบาดคราวนี้ น่าจะออกไปทาง “ชิวๆ” (ชิลๆ) ไม่ได้ถึงกับหนักหนาสาหัสมากมายสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบรรดาโรคระบาดต่างๆ เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะย้อนยุคไปในระดับ 2,000 เกือบ 3,000 ปีที่แล้ว อย่างโรคระบาดในจักรวรรดิกรีก เมื่อช่วงก่อนปีคริสต์ศักราช 429-426 ที่เล่นเอาผู้คนตายกันไปในระดับหมื่นๆ แสนๆ หรือประมาณ 75,000-100,000 ราย หรือในจักรวรรดิโรมันยุคพระจักรพรรดิ “จัสติเนียน” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 541-542 ที่ตายกันไปในระดับ 25-50 ล้านราย หรือเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในจักรวรรดิโรมัน...
หรือช่วงการระบาดของ “ไข้ดำ” (Black Death) กาฬโรค หรือกาฬมรณะ ระหว่างปี ค.ศ. 1347-1351 ที่เล่นเอาพลโลกกว่า 75-200 ล้าน ในแถบยูเรเชีย เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง กันไปเป็นแถบๆ เฉพาะยุโรปนั้น บรรดาพวกฝรั่งทั้งหลาย ตายไปถึง 30-60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในยุโรป หรือถ้าว่ากันในระดับโลก ที่จำนวนพลโลกขณะนั้นน่าจะมีอยู่ประมาณ 475 ล้านคน แต่เมื่อเจอกับไข้กาฬมรณะในครั้งนั้น ว่ากันว่า...จำนวนพลโลกลดฮวบๆ ฮาบๆ ลงไปเหลือแค่ 350-375 ล้านคน ต้องใช้เวลาอีกถึง 2 ศตวรรษถึงจะเพิ่มจำนวนได้เท่าเดิม หรือแม้แต่การระบาดเมื่อช่วงร้อยปีที่แล้ว คือการระบาดของ “ไข้หวัดสเปน” (Spanish flu) ที่คล้ายๆ โรคหวัดอู่ฮั่นนี่แหละ เพียงแต่เป็นหวัดที่ต่างคนละสายพันธุ์ คือสาย “อินฟลูเอนซา” (Influenza) ไม่ใช่ สาย “โคโรนา” (Corona) ที่ฟังคล้ายๆ ยี่ห้อรถญี่ปุ่นอะไรทำนองนั้น ครั้งนั้น...ก็ว่ากันว่า ตายกันไปถึง 50 ล้านคน มากกว่าบรรดาทหารที่ต้องล้มตายในอภิมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึง 3 เท่า เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แม้แต่การระบาดของ “ไข้หวัดซาร์ส” ในปี ค.ศ. 2003 หรือ “ไข้หวัดหมู” ในปี ค.ศ. 2009 ที่เป็นสายพันธุ์ “อินฟลูเอนซา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ก็น่าจะหนักหน่วงรุนแรง ซะยิ่งกว่าสายพันธุ์ “โคโรนา” อย่างโรคระบาดอู่ฮั่นอยู่พอสมควร ไข้หวัดหมูที่อุบัติขึ้นมาในอเมริกา ยุคประธานาธิบดี “โอบามา” นั้น เล่นเอาชาวโลกเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 284,000 ราย เฉพาะในอเมริกา “ติดเชื้อ” กันไปถึง 19 ล้านคน ในจำนวน 13 รัฐ ตายไปเป็นหมื่น ถูกกักตัวไว้ในโรงพยาบาลถึง 180,000 ราย ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับ “ไข้หวัดอู่ฮั่น” คราวนี้ และเมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ จำนวนคนตายที่แค่ประมาณครึ่งพัน หรือ 494 ราย ติดเชื้อประมาณ 24,000 ต่ำกว่าแค่เฉพาะผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูในอเมริกาเป็นล้านๆเท่า เอาเลยก็ว่าได้...
แต่ก็นั่นแหละ...เหตุที่มันออกจะเป็นอะไรที่ก่อให้เกิดอาการ “หูแหก-ตาแหก” ซะยิ่งกว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเท่าที่เคยเป็นมา ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะความก้าวหน้า ก้าวไกลของเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยเฉพาะใน “โลกเสมือนจริง” หรือโลกอินเทอร์เน็ต ที่มันเอื้ออำนวยต่อการแพร่ระบาดของข่าวจริง-ข่าวปลอม ชนิดแทบแยกแยะออกจากกันแทบไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจอย่างเป็นพิเศษ ก็คือ “ปฏิกิริยา” ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดนี้ ของรัฐบาลจีนยุคเผด็จการรุ่นใหม่ อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ออกจะเอาจริง-เอาจังมากๆ กับการควบคุมและสกัดกั้น มิให้โรคร้ายเหล่านี้แพร่สะพัดไปในเมืองจีน และแพร่สะพัดไปสู่ชาวโลก ชนิดพยายามทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างแทบจะหมดหน้าตัก เพื่อเอาชนะไวรัสตัวนี้ให้จงได้...
การออกมาตรการ “ปิดบ้าน-ปิดเมือง” นับเป็นสิบๆ เมือง ที่มีจำนวนประชากรรวมกันนับ 50-60 ล้านคน พอๆ กับน้องๆ ประเทศไทยทั้งประเทศเอาเลยก็ว่าได้ แถมแต่ละเมืองก็ล้วนแต่เป็น “อู่ข้าว-อู่น้ำ” หรือเป็นเมืองสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเมือง “อู่ฮั่น” ในมณฑลหูเป่ย หรือเมือง “หางโจว” เมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง ที่เพิ่งถูกออกคำสั่งปิดเมื่อช่วงวันอังคาร (4 ก.พ.) ที่ผ่านมา ระบบการคมนาคมขนส่งทั้งภายนอก-ภายในถูกระงับ บริษัทธุรกิจไม่ว่าของชาวจีนและต่างชาติหยุดดำเนินการไปด้วยกันทั้งสิ้น บรรดาผู้คนพลเมืองในแต่ละเมืองต้องนั่งจุมปุ๊กอยู่ในบ้านซะเป็นส่วนใหญ่ ต้องเสียสละทั้งความสุขส่วนตัว เสียเงิน-เสียทอง และเสียอิสรภาพในการไปไหน-มาไหน ชนิดถือเป็น “รายจ่าย” ที่มีราคาแพงเอามากๆ...
และอาจด้วยลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนังสือพิมพ์ฝรั่งอเมริกัน อย่าง “The New York Times” เลยหยิบไปเสี้ยม ไปตกแต่ง ต่อยอด กล่าวหาว่าเป็นการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ของชาวจีนไปซะอีกต่างหาก จนสื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” ต้องออกอาวุธโต้ เพื่อชี้ให้เห็นว่าปัญหาเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของผู้คน เป็น “คนละเรื่อง” กับปัญหาสิทธิมนุษยชน หรือ “ขณะที่เกิดภาวะความเป็น-ความตาย เราต้องหาทางแก้ปัญหาเพื่อให้ผู้คนมีชีวิตรอดซะก่อน หลังจากนั้นถึงควรค่อยคิดอีกว่าเขาเหล่านั้นจะใช้ชีวิตต่อไปในลักษณะไหน” พร้อมกับ “ด่ากลับ” ด้วยการยกตัวอย่างวิธีการรับมือกับปัญหาที่นำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชาวอเมริกัน ไม่ว่าครั้งเหตุการณ์ “ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย” ปี ค.ศ. 2018 หรือเหตุการณ์ “พายุแคทรินา” ปี ค.ศ. 2005 หรือแม้แต่เหตุการณ์การแพร่ระบาดของ “ไข้หวัดหมู” ปี ค.ศ. 2009 ที่ออกจะสะท้อนให้เห็นค่อนข้างชัดเจน ว่ารัฐบาลอเมริกันนั้น ดันหันไปให้ความสนใจกับเรื่องเงิน-เรื่องทอง เรื่องเศรษฐกิจ จนแทบไม่ได้สนใจชีวิตความปลอดภัยของผู้คนเหมือนอย่างรัฐบาลจีน เอาเลยแม้แต่น้อย...
จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปเทียบเคียงกันดู แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การตั้ง “คำถาม” และการหา “คำตอบ” ให้ได้ว่า เหตุใดถึง “เผด็จการยุคใหม่” ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” นั้น ถึงได้เอาจริง-เอาจัง เอามากๆ กับการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคหวัดอู่ฮั่นคราวนี้ เรียกว่า...โดยลักษณะอาการ แทบไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามเอาชนะ “แม่น้ำแยงซี” ด้วยการสร้างสิ่งกีดขวาง สร้างเขื่อนระดับใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง “เขื่อน 3 ผา” (Three Gorges Dam) เพื่อทำให้แม่น้ำเกิดอาการ “เชื่อง” ขึ้นมาให้จงได้ หรือเหมือนอย่างจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ “สุย” ที่พร้อมทุ่มเทเงินทอง ทุ่มเทกำลังคน ชนิดแทบหมดหน้าตัก เพื่อเนรมิต “คลองหลวง” (Grand Canal) เชื่อมแม่น้ำฮวงโหเข้ากับแม่น้ำแยงซีเกียง ฯลฯ อะไรประมาณนั้น การตัดสินใจปิดบ้าน-ปิดเมือง กักกันผู้คนระดับ 50-60 ล้าน ไม่ให้ไปไหนต่อไหน ระดมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับเกือบครึ่งล้าน ไปโอบล้อม ปิดล้อม แนวป้องกันในแต่ละเมือง ทุ่มเทเม็ดเงินงบประมาณระดับหมื่นล้าน แสนล้านหยวน รวมทั้งเงินอัดฉีดเศรษฐกิจ ไม่ให้ต้องหัวทิ่ม หัวตำมากมายเกินไปกว่านี้ อีกนับเป็นล้านล้านหยวน หรือเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์ จึงทำให้น่าจับตาอย่างเป็นพิเศษ ว่าอะไรคือ “เป้าหมายสูงสุด” ของ “สงครามกับโรคระบาด” ของจีนคราวนี้ ที่กำลังถูกนำเอาไปอุปมา-อุปไมย เทียบเคียงกับ “สงครามประชาชน” หรือ “People’s War” ไปแล้วถึงขั้นนั้น...