เฟคนิวส์ หรือ ข่าวปลอม เป็นปัญหาของสังคมยุคนี้ที่เกิดจากคนที่มีจิตใจสกปรก สร้างความสับสนวุ่นวายให้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าคนไม่มีปัญญาจะวินิจฉัยไตร่ตรอง เฟคนิวส์ก็จะได้ผลตามที่คนปล่อยปรารถนา ซึ่งมักจะหวังผลทางการเมือง หรือไม่ก็คนโรคจิต เผาชาติเล่นด้วยความสนุก
ในสมัยก่อนใช่ว่าจะไม่มีเฟคนิวส์ แต่เรียกกันว่า “บัตรสนเท่ห์” บางฉบับเป็นการเปิดเผยความลับที่เป็นประโยชน์ก็มี แต่ส่วนมากมักเขียนใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม แล้วแอบเอาไปทิ้งไว้ให้คนมาพบนำไปร่ำลือ บ้างก็อ้างว่าอีกาคาบมาทิ้งไว้ ให้ดูขลังขึ้นอีกหน่อย สร้างตวามเสียหายให้คนบริสุทธิ์มากมาย โดยเฉพาะถ้าคนรับบัตรสนเท่ห์เป็น “คนหูเบา”
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวไว้ว่า ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ กษัตริย์พระองค์ที่ ๑๐ ก็มีการทิ้งบัตรสนเทห์กันแล้ว ปรากฏว่าทำให้ขุนนางดีๆถูกฆ่าไปหลายคน ต่อมาทราบความจริงจึงวางโทษไว้ว่า การทิ้งบัตรสนเทห์เป็นความผิดร้ายแรง
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีเรื่องอื้อฉาวจากการทิ้งบัตรสนเทห์ ๒ เรื่อง เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๑ จากความแค้นส่วนตัวของพระเจ้าน้องยาเธอ ใส่ความพระเจ้าลูกยาเธอคนสำคัญที่ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๓ อีกเรื่องเกิดขึ้นในรัชกาลย์ที่ ๕ เป็นการหวังผลทางการเมืองจากมือที่ ๓ ซึ่งน่าจะเป็นชาวต่างชาติด้วย
เรื่องแรกมีโจทก์ยื่นฟ้องว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (บุญศรี) วัดมหาธาตุ พระญาณสมโพธิ (เค็ม) วัดนาคกลาง และพระมงคลมุนี (จีน) วัดพระเมรุ กรุงเก่า ทั้ง ๓ รูปประพฤติผิดวินัยข้อสำคัญ ต้องเมถุนปราชิกมาช้านานจนมีบุตรหลายคน โปรดเกล้าฯให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นรักษ์รณเรศ กับพระเต้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร ทรงพิจารณาไต่สวน ก็ได้ความจริงตามฟ้อง จึงลงพระราชอาญาให้สึกผู้กระทำความผิดแล้วเอาไปขังคุก
หลังจากนั้นก็มีผู้ทิ้งบัตรสนเทห์เป็นโคลงบทหนึ่ง มีข้อความว่า
ไกรสรพระเสด็จได้สึกชี
กรมเจษฎาบดีเร่งไม้
พิเรนทรแม่นอเวจีไป่คลาส
อาจพลิกแผ่นดินได้แม่นแม้นเมืองทมิฬ
เมื่อทรงทราบบัตรสนเทห์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเห็นว่าผู้แต่งโคลงบังอาจว่ากล่าวหยาบช้าต่อแผ่นดิน โปรดให้สืบหาตัวมาให้จงได้
เรื่องนี้แม้ผู้ทิ้งบัตรสนเท่ห์จะไม่เปิดเผยตัว แต่ก็ไม่ยากสำหรับการสืบสวน สำนวนกวีและการใช้คำว่า “ไป่” ชัดเจนว่าเป็นของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศรีสุเรนทร กวีเด่นพระองค์หนึ่งของยุคนั้น และเป็นศิษย์ของพระพุทธฒาจารย์บุญศรี จึงมีรับสั่งให้เอาตัวกรมหมื่นศรีสุเรนทรมาขังไว้ แต่กรมหมื่นศรีสุเรนทรเกิดประชวรสิ้นพระชนม์ในที่คุมขัง จึงปิดคดีไป
ส่วนเรื่องที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๕ นับเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน ขณะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองคุกรุ่นด้วยการคุกคามของอังกฤษและฝรั่งเศส โดยเฉพาะ ร้อยเอก โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ ทหารอังกฤษในอินเดีย ตกงานเพราะการพนัน เดินเท้าเข้ามาขอเป็นคนฝึกทหารของวังหน้าในรัชกาลที่ ๔ พอพูดภาษาไทยได้ก็ไปเป็นล่ามให้สถานทูตอังกฤษ จนได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงทูต เขียนหนังสือไปลงในหนังสือพิมพ์ยุโรป เชียร์วังหน้าสุดลิ่มทิ่มประตู ว่าเก่งกว่าวังหลวงอย่างมาก วังหลวงออกว่าราชการก็ต้องให้วังหน้าชักใยอยู่เบื้องหลัง พอขึ้นรัชกาลที่ ๕ โอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯเป็นพระราชวังบวรวิไชยชาญ ก็ยังมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับกงสุลอังกฤษลูกจ้างเก่าด้วยดี
ต่อมาในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุนิติภาวะว่าราชการด้วยพระองค์เองได้ ๒ ปี ก็มีมือดีทิ้งบัตรสนเท่ห์เตือนวังหน้าให้ระวังตัว กำลังจะถูกลอบปลงพระชนม์ ขุนนางวังหน้าก็จุดติด เกณฑ์ผู้คนข้าทาสทั้งทหารและพลเรือนจากต่างจังหวัดเข้ามาเตรียมพร้อม ฝ่ายวังหลวงไม่ไว้ใจสถานการณ์เตรียมกำลังไว้เงียบๆเหมือนกัน แต่ฝ่ายวังหน้าก็รู้จนได้ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็เผชิญหน้ากันอย่างเปิดเผย
ในระหว่างเหตุการณ์ตรึงเครียดนั้น คืนหนึ่งก็ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ใกล้กับตึกที่เก็บดินระเบิดและอาวุธต่างๆ เคราะห์ดีที่มีผู้พบเสียก่อนและดับได้ทัน หากลุกลามขึ้นนอกจากจะติดกับห้องเก็บพระมหาพิชัยมงกุฎและสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อพระเจ้าอยู่หัวด้วย
เหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นนี้ กรมพระราชวังบวรก็เกรงภัย เสด็จไปลี้ภัยที่บ้านกงสุลอังกฤษทันที ตอนนี้โอกาสจึงเปิดช่อง กงสุลอังกฤษและกงสุลฝรั่งเศสถือโอกาสสอดแทรกเสนอข้อหวังดีทันที เสนอให้แบ่งประเทศสยามออกเป็นส่วนๆ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน และมีใบบอกไปถึงผู้สำเร็จราชการเมืองสิงคโปร์ให้เข้ามาช่วยเจรจา เซอร์แอนดรูว์ คลาร์ก ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ ได้เดินทางเข้ามาทันที พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ทรงต้อนรับด้วยดี และรับสั่งว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความขัดแย้งในราชตระกูล พระองค์สามารถจัดการเองได้
ทรงวิตกว่าเรื่องจะลามต่อไปอีก จึงส่งเรือเร็วไปรับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้ใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งพ้นตำแหน่งผู้สำเร็จราชการไปพักอยู่ที่บ้านสวนราชบุรี ให้เข้ามาปรึกษา สมเด็จเจ้าพระยาได้ไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ พร้อมด้วยพระราชหัตถเลขามีข้อแสดงความจริงใจในพระราชหฤทัยว่า
“ถึงกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ด้วยการเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นการใหญ่ไม่เคยมีเลย ฉันมีความเสียใจมาก เธอไปอาศัยอยู่ที่บ้านกงสุลอังกฤษนี้ด้วยเหตุใด ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าเธอๆมีความหวาดหวั่นข้อใด เธอก็รู้อยู่เองว่าในแผ่นดินเราทุกวันนี้ ผู้ใดไม่มีความผิดใหญ่ที่ควรจะต้องฆ่าแล้ว ก็ฆ่ากันไม่ได้ ด้วยอาศัยความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง เธอมีความสะดุ้งหวั่นหวาดถึงชีวิตจะคิดการเกินไปดอกกระมัง หรือมีความผิดใหญ่อยู่ในใจจึงได้มีความร้อนระแวงกัน นี่ก็ไม่มีความสำคัญเลย ไม่ควรจะเป็น ฉันไม่ได้โกรธเธอๆมาโกรธฉันข้างเดียว ฉันเสียใจนักเธอทำการถึงเพียงนี้จะพาให้เสียชื่อติดแผ่นดินไปทั้งสองฝ่าย ก็เธอจะคิดต่อไปอย่างไรจึงจะเป็นการดีการชอบ อย่าให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนหวั่นหวาดต่อไป การที่เป็นไปนี้ฉันก็ไม่ทราบชัด ต่อเจ้าคุณมาบอกว่าเธอกลัวฉันจะฆ่าเธอ การนี้ฉันไม่ได้คิดเลย ถ้าเธอคิดเห็นการอย่างไรจะเป็นการเรียบร้อยสิ้นสงสัยเลิกแล้วเป็นการดี จงมีหนังสือเป็นสำคัญมาให้รู้ด้วย”
กรมพระราชวังบวรฯทรงเห็นว่าเรื่องจะบานปลายมาถึงประเทศชาติ จึงเสด็จกลับวัง ความตรึงเครียดได้คลายลง แต่เจ้านายและขุนนางต่างไม่พอใจการกระทำของกรมพระราชวังบวรฯ ที่ไปดึงเอาต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายใน และถือว่าเป็นการท้าทายพระราชอำนาจ จึงไปรวมตัวกันที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แสดงพลังความสามัคคี ทำการถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ด้วยชีวิต
เรื่องนี้เป็นต้นเหตุที่ไม่มีวังหน้าอีกต่อไป เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจึงโปรดเกล้าฯให้เลิกตำแหน่งนี้ ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารแทน
นี่ก็เป็นตัวอย่างของเฟคนิวส์ในอดีต ฉะนั้นตอนนี้ก็อย่าไปโพสต์อย่าไปแชร์แบบไม่คิด จะติดคุกเอาง่ายๆ