“อธิบดีฝนหลวง” เผย “ตำราฝนหลวงพระราชทาน” แฝงการบูรณาการหลายศาสตร์ สะท้อนพระปรีชา “พระบิดาแห่งฝนหลวง” ฝากคนไทยศึกษาเพื่อสืบสาน-ต่อยอด
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ตำราฝนหลวง ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้ประชาชนคนไทยนั้น นอกจาก 3 ขั้นตอนคือ ก่อกวน เลี้ยงให้อ้วน และโจมตี ยังมีเทคนิคพระราชทานคือการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมกันในกลุ่มเมฆเดียวกัน ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้เรียกเทคนิคการโจมตีที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นว่า SUPER SANDWICH TECHNIC และหากพิจารณาจะพบว่า ในตำราฝนหลวงพระราชทาน ได้มีการบูรณาการศาสตร์อื่นๆที่เป็นวิชาการเกี่ยวข้องกับการทำฝนอยู่ในตำรานั้นด้วย สะท้อนถึงพระปรีชาและทรงเป็นปราชญ์ในทุกด้าน อาทิ สารฝนหลวงที่ทรงใช้โซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง เพื่อโปรยในก้อนเมฆ ดูดความชื้นในอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์ การดูทิศทางลม ลักษณะอากาศ เป็นศาสตร์ด้านอุตุนิยมวิทยา การแสดงตำแหน่งของเครื่องบินที่เหมาะกับชั้นความสูงและกิจกรรม
ดร.สุรสีห์ กล่าวต่อว่า การวางแผนก่อนการปฏิบัติการขึ้นบินแต่ละวัน จะต้องมีการนำข้อมูลจากหลายหน่วยงานขึ้นมาพิจารณา และกำหนดว่า วันนี้มีจุดไหนบ้างที่จะเหมาะสมขึ้นปฏิบัติการ และในรูปแบบใด เพราะฉะนั้นบุคคลากรของกรมฝนหลวงจะต้องมีความรู้มากพอที่จะวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ว่า เมื่อข้อมูลเป็นเช่นนี้จะต้องปฏิบัติการฝนด้วยขั้นตอนใด สำหรับข้อมูลที่กรมจะต้องใช้ ได้แก่ ข้อมูลการตรวจสภาพอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ทิศทางลม อุทกวิทยา การพยากรณ์ลักษณะอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ลักษณะอากาศในแต่ละภูมิภาคแต่ละช่วงเดือนที่ต่างกัน และข้อมูลแหล่งน้ำ เป็นต้น
“การทำฝนแต่ละวันเริ่มต้นด้วยการบูรณาการศาสตร์หลายแขนงมาพิจารณาและวิเคราะห์ด้วยหลักวิชาการการดัดแปรสภาพอากาศ ตามศาสตร์พระราชาฝนหลวง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะต้องมีถึงจะขึ้นทำฝนได้คือ ความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60% การยกตัวของมวลอากาศต้องต่ำกว่า -2 องศาเซลเซียส ความเร็วลมไม่เกิน 20 นอตต่อชั่วโมง และปัจจัยเสริมต่างๆ จะเห็นว่า วิชาดัดแปรสภาพอากาศนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขณะเดียวกันการดัดแปรอากาศก็สามารถที่จะทำได้ และพระบิดาแห่งฝนหลวง พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้ให้ เพื่อเป็นสมบัติของชาติและเพื่อประโยชน์ของไทยและนานาประเทศ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ รักษาและต่อยอด สืบไป” ดร.สุรสีห์ ระบุ
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ตำราฝนหลวง ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานให้ประชาชนคนไทยนั้น นอกจาก 3 ขั้นตอนคือ ก่อกวน เลี้ยงให้อ้วน และโจมตี ยังมีเทคนิคพระราชทานคือการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมกันในกลุ่มเมฆเดียวกัน ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้เรียกเทคนิคการโจมตีที่ทรงประดิษฐ์คิดค้นว่า SUPER SANDWICH TECHNIC และหากพิจารณาจะพบว่า ในตำราฝนหลวงพระราชทาน ได้มีการบูรณาการศาสตร์อื่นๆที่เป็นวิชาการเกี่ยวข้องกับการทำฝนอยู่ในตำรานั้นด้วย สะท้อนถึงพระปรีชาและทรงเป็นปราชญ์ในทุกด้าน อาทิ สารฝนหลวงที่ทรงใช้โซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกง เพื่อโปรยในก้อนเมฆ ดูดความชื้นในอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์ การดูทิศทางลม ลักษณะอากาศ เป็นศาสตร์ด้านอุตุนิยมวิทยา การแสดงตำแหน่งของเครื่องบินที่เหมาะกับชั้นความสูงและกิจกรรม
ดร.สุรสีห์ กล่าวต่อว่า การวางแผนก่อนการปฏิบัติการขึ้นบินแต่ละวัน จะต้องมีการนำข้อมูลจากหลายหน่วยงานขึ้นมาพิจารณา และกำหนดว่า วันนี้มีจุดไหนบ้างที่จะเหมาะสมขึ้นปฏิบัติการ และในรูปแบบใด เพราะฉะนั้นบุคคลากรของกรมฝนหลวงจะต้องมีความรู้มากพอที่จะวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ว่า เมื่อข้อมูลเป็นเช่นนี้จะต้องปฏิบัติการฝนด้วยขั้นตอนใด สำหรับข้อมูลที่กรมจะต้องใช้ ได้แก่ ข้อมูลการตรวจสภาพอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ทิศทางลม อุทกวิทยา การพยากรณ์ลักษณะอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ลักษณะอากาศในแต่ละภูมิภาคแต่ละช่วงเดือนที่ต่างกัน และข้อมูลแหล่งน้ำ เป็นต้น
“การทำฝนแต่ละวันเริ่มต้นด้วยการบูรณาการศาสตร์หลายแขนงมาพิจารณาและวิเคราะห์ด้วยหลักวิชาการการดัดแปรสภาพอากาศ ตามศาสตร์พระราชาฝนหลวง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะต้องมีถึงจะขึ้นทำฝนได้คือ ความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60% การยกตัวของมวลอากาศต้องต่ำกว่า -2 องศาเซลเซียส ความเร็วลมไม่เกิน 20 นอตต่อชั่วโมง และปัจจัยเสริมต่างๆ จะเห็นว่า วิชาดัดแปรสภาพอากาศนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขณะเดียวกันการดัดแปรอากาศก็สามารถที่จะทำได้ และพระบิดาแห่งฝนหลวง พระองค์ท่านได้พระราชทานไว้ให้ เพื่อเป็นสมบัติของชาติและเพื่อประโยชน์ของไทยและนานาประเทศ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ รักษาและต่อยอด สืบไป” ดร.สุรสีห์ ระบุ
