ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เก็กซิมต้อนรับเทศกาลตรุษจีน
ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน ที่สู้อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอน 4 วัน 3 คืน ร่วมกับเข็น ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 (ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ) วงเงินรวม 3.2 ล้านล้านบาท ในวาระ 2 และ 3 ไปอย่างหืดจับ แล้วยังมีความยากลำบากของ ส.ส.และข้าราชการประจำ ที่ร่วมกันทำงานในชั้นกรรมาธิการหามรุ่งหามค่ำมากว่า 3 เดือนอีก
แล้วยังมีการเล่น “เกมใต้ดิน” กระชากหน้ากาก “งูเห่า” พาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯผ่าน “สภาล่าง” ได้อย่างสบายๆ
แม้ว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ม.ค.63 ที่ผ่านมา “สภาสูง” ที่ประชุมวุฒิสภาจะมีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 225 เสียง เห็นชอบไปแล้ว และกำลังดำเนินการส่งกลับมาให้รัฐบาล โดยนายกมนตรีเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ก็ตาม
ที่สุด “ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ” ก็ส่อเค้าจะ “เป็นหมัน” ด้วย “เรื่องไม่ใช่เรื่อง” จากกรณี “กดบัตรแทนกัน” ในชั้นสภาผู้แทนราษฎร
ย้อนความเหตุที่ทำให้ “ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ” ต้องติดหล่ม และอาจเข้า “เดดล็อก” ในไม่ช้า เป็นประเด็นที่จุดพลุออกมาโดย “คนในรัฐบาล” เอง อย่าง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เลือกตั้งรอบล่าสุดสอบตก แล้วมากินตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์) โดยได้แถลงข่าวใหญ่โตว่า พบหลักฐานว่า ฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาฯในระหว่างการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ระหว่างวันที่ 10-11 ม.ค.63
ปรากฏภาพถ่ายว่า “ฉลอง” ไปร่วมงานเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ จ.พัทลุง ในวันที่ 11 ม.ค.63 แต่กลับมีชื่อปรากฏว่าลงมติหลายมาตราในช่วงกลางดึกคือวันที่ 10 ม.ค. ต่อเนื่องถึงวันที่ 11 ม.ค. ที่มีการลงมติในวาระที่ 3 ก่อนปิดประชุม
กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ต้องรับโดดออกมาแสดงความรับผิดชอบ โดย “เดอะบัง” ศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะนายทะเบียน พรรคภูมิใจไทย ได้ตอบโต้ “นิพิฎฐ์” ทันทีว่า “ฉลอง” เสียบบัตรคาไว้ในช่องเสียบบัตร ไม่มีเจตนาให้ใครลงคะแนนแทน และมีเหตุจำเป็นที่ต้องเดินทางกลับพื้นที่
ก่อนตำหนิ “นิพิฏฐ์” ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่า “กัดไม่ปล่อยเหมือนหมาบูลด็อก” เป็นเหตุให้ “นิพิฏฐ์” ที่สุมแค้นอยู่เต็มอกอยู่แล้ว เดือดดาลยิ่งกว่าเดิม ลากเอา นาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ว่ามีพฤติการณ์เหมือนกับ “ฉลอง” โดยพบหลักฐานว่า เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังประเทศจีน ในช่วงที่มีการลงมติวันสุดท้ายของการประชุมเช่นกัน
เมื่อข้อมูลหลักฐานพรั่งพรูออกมามากขึ้น กลายเป็นว่า “ค่ายเซราะกราว” ต้อง “จำนนต่อหลักฐาน” ทำให้ “คำชี้แจง” เสียงแข็งในตอนต้น ต้องกลับกลายเป็น “คำสารภาพ” แทน เมื่อเปิดคำชี้แจงของ “ฉลอง” ที่ยอมรับว่าไม่ได้อยู่ในห้องประชุม และไม่ได้ลงมติ โดยลืมบัตรไว้ในที่ประชุม แต่ไม่ทราบว่ามีใครกดบัตรลงคะแนนให้
ขณะที่ “นาที” เองก็ยอมรับว่ามีการลาประชุมในวันดังกล่าว แต่ก็ยังปรากฏว่ามีชื่อลงมติอยู่
ว่ากันตามเนื้อผ้าเท่าที่ข้อมูลหลักฐานปรากฏ ก็พอสรุปได้แล้วว่า มีการเสียบบัตร-กดคะแนนแทนกันจริง
ในฐานะ “นิพิฏฐ์” ที่เป็นผู้เปิดประเด็น และทำหน้าที่ตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้แทนราษฎร พอพิทักษ์รักษาความถูกต้องชอบธรรมของร่างกฎหมาย แม้ว่าตัวเองไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ตาม แต่ “นิพิฏฐ์” กลับไม่ได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญอย่างที่ควรจะเป็น ก็เพราะถูกจับได้ไล่ทันว่า เหตุที่เปิดโปง 2 ส.ส.ค่ายเซราะกราวดังกล่าว เป็นการถอนแค้นจากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา มากกว่าเพื่อพิทักษ์ความถูกต้อง
เมื่อกางผลเลือกตั้งก็โป๊ะเชะ เมื่อพบว่า “ฉลอง เทิดวีระพงศ์” ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ที่เขต 2 จ.พัทลุง โดยได้ 45,231 คะแนน โดยมีอันดับ 2 ชื่อ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ 20,091 คะแนน
ส่วน “นาที รัชกิจประการ” หรือ “เจ๊เปี๊ยะ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ผู้มีพื้นเพเป็น “คนเมืองลุง” นั้นเป็นที่รู้กันในวงการว่าเป็น “แม่ทัพปักษ์ใต้” ของพรรคภูมิใจไทย ที่สามารถพา “พรรคอีสานใต้” มาปักธงที่ด้ามขวานได้ถึง 8 ที่นั่งเลยทีเดียว
หากจำกันได้ หลังตั้งรัฐบาลเสร็จไม่นาน พรรคภูมิใจไทย นำโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ขนทัพรัฐมนตรีของพรรค 7 คน และ ส.ส.ทั้ง 51 ชีวิต กรีธาทัพมาจัดกิจกรรมประชุมพรรคภูมิใจไทย สัญจร ครั้งที่ 1 โดยเลือกประเดิมที่ จ.พัทลุง เพื่อให้เกียรติแม่ทัพหญิงแห่งภาคใต้ของพรรคอย่าง “เจ๊เปี๊ยะ” พร้อมข่มเจ้าถิ่นอย่าง “นิพิฏฐ์ ณ ปชป.” ไปในตัว
ความคั่งแค้นดังกล่าว ก็เลยนำมาซึ่งความเคลื่อนไหวอย่างมี “วาระซ่อนเร้น” โดยใช้ความถูกต้องชอบธรรมบังหน้า อันนำมาซึ่งเสียงโห่ฮาจากเพื่อนนักการเมือง ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล ว่า “นิพิฏฐ์” นำวาระ “ส่วนตัว” มาเล่นการเมือง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ “ส่วนรวม”
เพราะมันส่งผลกระทบถึงขั้นทำให้ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯที่ล่าช้าอยู่แล้ว ส่อเค้าจะล่าช้าหนักขึ้นไปอีก
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็แทรกเข้ามาอีก เมื่อปรากฏว่ามีสื่อสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเผยแพร่คลิปในช่วงระหว่างการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ จำนวน 2 คลิป
หนึ่งเป็นภาพในขณะที่ ส.ส.ชาย ที่มีป้ายพรรคภูมิใจไทยอยู่ด้านหน้า กำลังถือบัตรประจำตัว ส.ส.อยู่ในมือหลายใบ และทยอยเสียบบัตรที่ถืออยู่ทั้งหมดทีละใบ
กับอีกคลิปเป็นกลุ่ม ส.ส.หญิงจากพรรคพลังประชารัฐ ถือบัตรหลายใบ และทำการเสียบบัตรหลายครั้งเช่นกัน
กลายเป็นหลักฐานที่ดูจะชัดเจนกว่ากรณีของ “ฉลอง-นาที” ด้วยซ้ำ ในกรณีของ 2 ส.ส.ภูมิใจไทย ยังจับมือใครดมไม่ได้ว่า ใครเป็นผู้กดบัตรแทน แต่กรณีหลังเห็นหน้าค่าตาชัดเจน แม้จะชี้แจงกันเป็นพัลวันว่า กดบัตรให้กับเพื่อนสมาชิกที่อยู่ข้าง หรืออยู่หน้าเครื่องเสียบบัตร เพราะสถานที่ห้องประชุมคับแคบ แล้วยังมีเครื่องลงคะแนนไม่เพียงพอ ต้องสลับกันเสียบบัตร
แต่บอกเลยยากที่จะฟังขึ้น!!
มีอย่างน้อย 2 ประเด็นที่แปะข้างฝาไว้เลย
หนึ่ง พฤติกรรมกดบัตรแทนกันของผู้ที่เรียกตัวเองว่า “ผู้ทรงเกียรติ” ก็ยังไม่เคยคิดจะปฏิรูป ยังคงทำ โดยไม่แยแซเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง
สอง นิสัยเล่นการเมืองจนเคยตัวของ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ เป็น “สนิมเนื้อใน” ของรัฐบาลอย่างแท้จริง
เรื่องการสอบสวนเอาผิดกับ ส.ส.ที่มีพฤติการณ์กดบัตรแทนกัน ที่ความผิดเป็นคดีอาญา ถือเป็นเรื่องเล็ก ที่คงต้องให้ “เป็นไปตามกรรม” เพราะ “เรื่องใหญ่” กว่าคือความเป็นไปของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่กระทบภาพรวมของประเทศและประชาชน
เป็นที่มาของอาการถอนหายใจเฮือกยาวๆ ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 เหนือสิ่งอื่นใดในยาม ที่ประสบปัญหาในการบริหารบ้านเมืองด้วยตัวเอง
“ไม่ควรไปกระทำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ก็ไม่ควรจะกระทำ ถ้ารู้ว่ามันผิดกติกาสภาฯ” ตีความได้ว่ากระแทกไปทั้งสองฝ่าย ทั้งคนเปิดโปง และคนที่ถูกเปิดโปง
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ จ.นราธิวาส “นายกฯประยุทธ์” ได้หารือนอกรอบร่วมกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ “ซือแป๋กฎหมาย” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ รวมไปถึง ผอ.สำนักงบประมาณ
โดยมองว่าหากมีกรส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อาจทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ล่าช้าไปอีก 2-3 เดือน กว่างบฯ จะออกก็เกือบเดือน พ.ค.-มิ.ย.ใช้ได้แค่ 3-4 เดือน
เท่ากับว่าทำให้ทุกอย่างต้องชะงักงันไปหมด โดยเฉพาะการที่ที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ เมื่อเดือน ต.ค.62 ก็ทำได้เพียงการใช้แผนงบประมาณเดิมไปพลางก่อน เบิกจ่ายได้เฉพาะงบประมาณประจำ แต่ติดขัดการนำเงินงบประมาณมาใช้ใน “ด้านการลงทุน” ที่กลายมาเป็น “เครื่องจักรแห่งความหวัง” ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
และผู้ที่เดือดร้อนที่สุดก็คือ “ประเทศชาติ” และ “ประชาชน” ซึ่งจะได้รับผลกรรมไปเต็มๆ
เพราะโอกาสที่ระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศจะได้รับทรัพยากรจากงบประมาณแผ่นดินเพื่อให้เกิดโครงการ การจ้างงานและการผลิตในภาคส่วนต่าง ๆ ล่าช้าออกไป เมื่อเงินเข้าระบบเศรษฐกิจช้า จักรกลเศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนช้าตามไปด้วย
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมที่ผิดพลาดของ ส.ส. เพียงไม่กี่คนสร้างผลกระทบทางลบต่อการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมหาศาลทีเดียว
ขณะเดียวกันสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะต้นตอปัญหา ก็จำเป็นต้องขยับ โดยฝ่าย ส.ส.รัฐบาล ได้เข้าชื่อ 90 คน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 ยื่นต่อ ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาเพื่อขอให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯจากเหตุการณ์ใช้บัตรแสดงตนและลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม
เพื่อขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเพื่อป้องกันไม่ให้ร่าง พ.ร.บ.นี้มีมลทินก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ใน 3 ประเด็น คือ
1.กระบวนการตราร่างกฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 หรือไม่
2.หากขัดจะเป็นผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ต้องตกไปทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตราที่พบว่ามีการออกเสียงแทนกัน ทั้งนี้หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ต้องตกไป จะเข้าข่ายว่าสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ไม่แล้วเสร็จภายใน 105 วันนับตั้งแต่วันที่ ส่งมาถึงสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 143 ระบุไว้หรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้นให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ใช่หรือไม่
และ 3.หากร่างกฎหมายตกทั้งฉบับหรือบางมาตราที่มีปัญหา จะดำเนินการอย่างไร
ถอดรหัสคำร้องของ 90 ส.ส.รัฐบาล สะท้อนให้เห็นอาการ “มืดแปดด้าน” อย่างชัดเจน จึงต้องยื่นคำร้องเพื่อขอ “คำแนะนำ” จากศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้านเองก็กำลังขยับล่ารายชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 เพื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในอีกมุมว่า การที่มีผู้อื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทน ส.ส.เจ้าของบัตร ทำให้การลงมติไม่ชอบ และมีผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯเป็นโมฆะ โดยให้ยึดตามบรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเคยวางบรรทัดฐานไว้ครั้งร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านฯ สมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” นั่นเอง
โอกาสที่ศาลรัฐธรรมนูญจะประทับตราให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 63 ผ่านฉลุย จึงแทบเป็นไปไม่ได้
ด้านฝ่ายทีมเศรษฐกิจ โดย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ “ขุนคลัง” อุตตม สาวนายน รมว.คลัง ก็เตรียม “แผนสำรอง” เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนไว้เช่นกัน โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เตรียมแผนแนวทางต่างๆไว้รับมือ อาจถึงขั้นต้องใช้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินฯ หาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นโมฆะ และต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพิจารณาใหม่
อย่างไรก็ตาม “นายกฯตู่” ดูจะยังไม่ตอบรับไอเดีย พ.ร.ก.กู้เงินฯ และแตะเบรกไว้เบาๆ ว่า ยังไม่ถึงเวลา
ขณะเดียวกันก็ยังมี “สัญญาณดีๆ” อยู่บ้าง เมื่อรายงานข่าวว่า “อุตตม” ที่สวมหมวกทั้ง หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, รมว.คลัง และที่สำคัญในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 63 ได้เข้าจับเข่าพูดคุยกับ “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพื่อหาทางออกกรณีที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯอาจถูกตีความว่าโมฆะ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รุ่นเก๋าอย่าง “สมพงษ์” ก็แนะนำว่า รัฐบาลควรนับหนึ่งใหม่ โดยเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่กระบวนการพิจารณาสภาฯอีกครั้ง ไม่ควรหาทางซิกแซกออกนอกลู่ ต้องทำให้ร่างกฎหมายชอบธรรม ไร้มลทินใดๆ ส่วน ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนกัน ก็ให้สอบสวนเอาผิด “เฉพาะตัว” ไปตามกระบวนการ
พร้อมให้ “สัตยาบรรณ” ว่า ฝ่ายค้านพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อผลักดันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯให้ผ่านโดยเร็ว เพราะรู้ถึงความจำเป็นในการต้องใช้งบประมาณเพื่อบริหารบ้านเมือง แก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน
เห็นแบบนี้แล้ว ก็อดเป็นห่วง “พรรคสีฟ้า” ไม่ได้ เพราะโอกาสที่จะถูกเขี่ยพ้นพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มใกล้ความจริงเข้ามาทุกที
มีการดีดลูกคิดกันคร่าวๆ หากมีการเสนอร่างกฎหมายใหม่เข้าสภาฯ อาจจะใช้เวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ก็แล้วเสร็จ โดยย่นระยะเวลาในชั้นคณะกรรมาธิการฯและพิจารณาวาระ 2-3 ตามความจำเป็น
เมื่อคิดใน “แง่ร้ายที่สุด” ว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯมีปัญหาอย่างแน่นอนแล้ว ก็มีทางออกประเภท “อภินิหารกฎหมาย” หล่นออกมาจาก “ซือแป๋วิษณุ” ที่ชี้ช่องว่าหากศาลรับธรรมนูญตีความว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเข้า “มาตรา 143” แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บัญญัติไว้เฉพาะ “ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ” ประกอบมาตรา 138 วรรคสอง
ที่บัญญัติไว้ถึง “ร่าง พ.ร.บ.ที่ต้องยับยั้งไว้” ที่สามารถร่นเวลาในกรณีที่ “วุฒิสภาไม่เห็นชอบ” ร่าง พ.ร.บ.ใดๆ จาก 180 วัน เหลือเพียง 10 วัน ในกรณีเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน โดยให้ “สภาผู้แทนราษฎร” ยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที
ติดก็แต่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาไปแล้ว
ก็คงต้องรอลุ้นให้ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ชี้ “ทางสว่าง” ให้เท่านั้น
ถึงนาทีนี้แล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมิอาจมองเป็นอย่างอื่นไปได้ว่า “เจ๊งทั้งอำเภอ เพราะเธอคนเดียว” พร้อมทั้งติดแฮชแท็กให้ด้วยว่า #ฉิบหายจริงๆ นะจ๊ะ.