ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ปิดคดีโจรชิงทองลพบุรีสะท้านเมือง สะเทือนขวัญ เปิดโปรไฟล์ช็อกสังคม “ประสิทธิชัย”ข้าราชการครู ตำแหน่ง ผอ.รร. ฐานะดี นิสัย “ร่าเริง-รักเด็ก”แต่ทำไมโหดเหี้ยมอย่างนี้ “บิ๊กแป๊ะ”ผบ.ตร. ลั่น ไม่ใช่แพะ เบื้องลึกให้รอฟังวันนี้
ปิดคดีสะเทือนขวัญจากเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวชิงทอง ร้านทองออโรร่า ในห้างโรบินสัน อ.เมืองฯ จ.ลพบุรี แล้วใช้อาวุธปืนเก็บเสียงยิงประชาชน และพนักงานร้านทอง มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 2 ขวบ บาดเจ็บอีก 4 ราย เหตุเกิด เมื่อวันที่ 9 ม.ค.63
ตำรวจใช้เวลา 13 วัน จนวันพุธที่ 22 ม.ค.ได้เข้าจับกุม “ประสิทธิชัย เขาแก้ว”ชายวัย 38 ปี ซึ่งพอสืบไปดูโปรไฟล์ถึงกับ"ช็อกสังคมอย่างยิ่ง" เพราะเขาเป็นข้าราชการครู มีตำแหน่งใหญ่ถึงผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโพธิ์ชัย จ.สิงห์บุรี
จากโปรไฟล์ที่ดี บวกกับ มีพ่อเป็นนายตำรวจนอกราชการ มารดารับราชการเป็นครู ฐานะทางบ้านค่อนดี จบการศึกษาปริญญาโท วิชาเอก กศ.ม.บริหารการศึกษา สอนชั้นประถมศักษา วิชาพละศึกษา สุขศึกษา
ขณะที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของ"ประสิทธิชัย"ได้โพสต์เรื่องราวต่างๆนั้น จัดว่าเป็นคนที่มีชีวิต“กินหรู อยู่สบาย”สังคมโซเชียลฯ จึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้แต่คนใกล้ชิด ญาติ เพื่อนครู ยังไม่อยากจะเชื่อ ว่า "ผอ.กอล์ฟ" จะเป็นผู้ก่อเหตุที่โหดเหี้ยมสะท้านเมืองนี้
งานนี้ "พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" ผบ.ตร. ซึ่งลงไปกำกับประชุมติดตามคดีมาตลอด จึงยืนยันด้วยการแถลงหลังจับกุม ผอ.ประสิทธิชัย ได้ว่าไม่ได้ผิดตัว "ไม่ใช่แพะ" แน่นอน เบื้องต้นเจ้าตัวยังสำนึกผิดไม่ได้ปฏิเสธ ขณะที่พยานหลักฐานทั้งนิติวิทยาศาสตร์ และพยานบุคคล ผู้ต้องหารายนี้เป็นเป้าตั้งแต่แรกที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาหลักฐาน หากจับแพะตำรวจจะมีที่ยืนในสังคมอย่างไร ?
ว่ากันว่า เบื้องหลังการจับกุม ต้องชื่นชม "พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช" ผู้บังคับการกองปราบปราม มีรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุทาง พล.ต.ต.จิรภพ ได้สั่งการให้ "พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา" ผกก.2 บก.ป. "พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น" ผกก.3 บก.ป. และ "พ.ต.อ.วิจักษ์ ตารมย์" ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการกองปราบฯ ลงพื้นที่แกะรอยผู้ต้องหารายนี้ จนกระทั่งประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเบาะแสจาก “พลเมืองดี”ว่าคนร้ายที่น่าจะเป็น "ประสิทธิชัย เขาแก้ว" หรือ "กอล์ฟ" ผอ.โรงเรียนวัดโพธิ์ชัย สิงห์บุรี จึงได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบรวบรวมพยานหลักฐาน
สืบสวนใช้ประมาณ 7 วัน ก็พบว่ามีหลักฐานหลายอย่างโดยเฉพาะอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเกี่ยวพันกับประสิทธิชัย พร้อมกับหลักฐานอื่นๆ เชื่อมโยงว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว โดยเฉพาะ “เหงื่อ” ที่ติดอยู่กับกระจกประตูห้างที่เขาใช้ร่างกายกระแทกเพื่อหลบหนี
ประเด็น“หยาดเหงื่อ”นี้ สังคมออนไลน์ก็พูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะมีรปภ. ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกยิงไล่หลังเป็นผู้พยายามจะล็อกประตู เพื่อปิดทาง"ประสิทธิชัย" ต้องได้รับการยกย่องอย่างสูงด้วยเป็นเป็นผู้ที่นำมาซึ่งหลักฐานสำคัญในการคลี่คลายคดีนี้
หลังจากรวบรวมหลักฐาน เจ้าหน้าที่จึงได้ขอหมายจับจากศาลอาญา กระทั่งศาลออกหมายจับให้เมื่อค่ำวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา
เช้าวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 22 ม.ค. ชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน”กองปราบฯ ตามแกะรอยจนทราบที่กบดานของประสิทธิชัย มีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และกำลังจะขับรถไปสอนหนังสือ ที่โรงเรียนโพธิ์ชัยสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงจัดกำลังพร้อมยุทโธปกรณ์ครบมือ แสดงตัวเข้าจับกุม ขณะกำลังขับรถยนต์ ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู รุ่นซีรีส์ 5 สีดำ โดยระหว่างที่เข้าจับกุมนั้น "ประสิทธิชัย"ไม่มีท่าทีขัดขืน หรือต่อสู้เจ้าหน้าที่เพราะตั้งตัวไม่ติด
ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้น เป็นปืนของพ่อที่เป็นอดีตตำรวจ หลังจากก่อเหตุเสร็จก็นำไปคืนพ่อ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ส่วนรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฟีโน่ สีแดง เป็นของพ่อตา ยืมมาเพื่อใช้ในการก่อเหตุ
ว่ากันว่า แรงจูงใจของ "ประสิทธิชัย" เป็นประเด็นที่สังคมอยากรู้ที่สุด เพราะพฤติการณ์ที่เหี้ยมโหด บ่างก็ว่าติดเกม ติดหนี้สิน รวมถึง รู้สึกเบื่อกับชีวิต ต้องการหาความท้าทาย ตื่นเต้น ชีวิตจะได้มีสีสัน ทำไปเพราะอยากตาย อยากถูกวิสามัญฯ แต่พอเข้าไปถึงสถานที่เกิดเหตุ ก็เปลี่ยนใจมาเป็นฆ่าผู้อื่นแล้วค่อยหนี
หลายๆคนที่รู้จัก "ผอ.กอล์ฟ" ต่างนึกไม่ออกว่าเขามีแรงจูงใจอะไรกันแน่ ด้วยนิสัยจากปากคำของเพื่อนครู หรือนักการภารโรงของโรงเรียน ก็ว่า ผอ.เป็นคนรักเด็ก ขีวิตส่วนตัวครอบครัวได้เข้าพิธีแต่งงานไปเมื่อเดือน เม.ย.60 นิสัยส่วนตัวเป็นคนร่าเริง ชอบรถบิ๊กไบค์ และชื่นชอบกีฬายิงปืน โดยที่ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะเป็นไปได้ถึงขั้นฆ่าคนอย่างเลือดเย็น
หลังก่อเหตุ "ประสิทธิชัย" ก็รู้ว่าหนีไม่รอด และถูกจับได้แน่ แต่ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมาถูกจับดังกล่าว คนก็สงสัยกันว่า ถ้าจะวิเคราะห์จิตของประสิทธิชัย ทำไมโหดเหี้ยมอย่างนี้ ก็ต้องบอกว่า อาจจะเป็นคนที่มีอีกบุคคลิกที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวหรือไม่ ? ที่ว่ากันว่า เป็นคนที่มีสองบุคคลิก ?
ปมลึกๆ จากคดีนี้ โปรดติดตามจากการแถลงสรุปคดีของ ผบ.ตร. อีกครั้ง "พล.ต.อ.จักรทิพย์" จะให้คำตอบทุกคำถาม ในการแถลงข่าวสรุปคดี 10.30 น. วันนี้ (23ม.ค.) อีกครั้ง !
** รัฐบาลงานเข้า!! เมื่อคนประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน ทำเอางบฯ 63 สะดุด...จะผิดมากผิดน้อยแค่ไหน ต้องรอศาลรธน.ตีความ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยังไม่ได้เริ่ม ฝ่ายค้านยังไม่ได้ออกอาวุธ แต่รัฐบาลก็ต้องมาสะดุดขาตัวเอง จนซวนเซ เสียทรง จากเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ซะแล้ว !!
เมื่อประชาธิปัตย์ โดย "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" รองหัวหน้าพรรค และอดีต ส.ส.พัทลุง ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา พร้อมแสดงหลักฐานว่า ในช่วงที่มีการพิจารณาวาระ 2 บางมาตรา และช่วงโหวต วาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนั้น มี 2 ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม โดย "ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ส.ส.พัทลุง ไปเปิดงานวันเด็ก ที่ จ.พัทลุง ขณะที่ "นาที รัชกิจประการ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ เดินทางไปจีน แต่กลับมีการลงคะแนนเสียง...นั่นแสดงว่ามีการ "เสียบบัตรแทนกัน"
"ชวน หลีกภัย" ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงได้สั่งการให้เลขาธิการสภาฯไปทำการตรวจสอบโดยเร่งด่วน... ผลปรากฏว่ามีการเสียบบัตรแทนกันจริง !!
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 63 ที่ผ่านฉลุย ทั้งสภาผู้แทน และวุฒิสภาไปแล้ว เตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้จึงต้องสะดุดลง รอจัดการเคลียร์ปัญหานี้ให้จบเสียก่อน ว่าจะต้องทำอย่างไร จะถึงขั้นเป็นโมฆะไปเลยหรือไม่
ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 90 คน จึงเข้าชื่อนำเรื่องยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ศาลรธน.ตีความใน 3 ประเด็นได้แก่ 1. กระบวนการ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนนตามรธน. มาตรา 120 หรือไม่ 2. หากมีปัญหาจะมีปัญหาทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตรา ที่มีปัญหา และ 3. จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร
เมื่อฝ่ายค้านเห็นเช่นนั้น ก็เข้าชื่อ ส.ส.84 คน ยื่นตีความบ้าง แต่เป็นการยื่นให้ตีความตาม มาตรา 148(1) ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ตราขึ้นโดยชอบด้วยรธน. หรือไม่...ต่างจากฝ่ายรัฐบาลที่ยื่นตีความใน มาตรา 120 ซึ่งเป็นเรื่องของการออกเสียงแทนกัน
นัยของความแตกต่างกันคือ ฝ่ายรัฐบาลขอให้ตีความในกระบวนการทำงานของสภาฯ หากมีปัญหาตรงจุดใดก็สามารถแก้ไขในกระบวนการทางสภาฯได้ ส่วนของฝ่ายค้านให้ตีความในกระบวนการทำงานของรัฐบาล ในการตรา ร่าง พ.ร.บ.งบฯ
หากศาลรธน. วินิจฉัยตามคำร้องของฝ่ายค้านว่า กระบวนการตรา พ.ร.บ.งบฯ ไม่ชอบด้วยรธน. ถ้าบทบัญญัตินั้นเป็นสาระสำคัญ ก็จะทำให้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ ตกไป... แน่นอนว่าฝ่ายค้านก็มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้รัฐบาล "ยุบสภา หรือลาออก"
มีการนำเรื่องนี้ไปเที่ยบเคียงกับกรณีเสียบบัตรแทนกัน ในสมัยรัฐบาล"น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เมื่อปี 2557 ที่มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ "พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" ซึ่งในครั้งนั้นศาลฯพิจารณาให้ ร่าง พ.ร.บ.นั้นตกไป
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำเอารัฐบาลออกอาการ "ตึงเครียด"ไม่ใช่น้อย ... แต่ "เนติบริกร" วิษณุ เครืองาม ได้ออกมาแสดงความเห็นปลอบใจรัฐบาลว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบจนทำให้เกิดความเสียหายใหญ่โตอะไร แค่ทำให้การได้ใช้งบฯ ล่าช้าออกไปเท่านั้น ... พร้อมยกกรณีเสียบบัตรแทนกันในอดีต กับครั้งนี้ มีรายละเอียดแตกต่างกัน ย่อมมีโทษ และผลกระทบ ต่างกัน
อย่างเช่น เมื่อปี 56 ที่มีการขอแก้ไขรธน. ซึ่งครั้งนั้น มีข้อกล่าวหาหลายเรื่อง รวมทั้งเสียบบัตรแทนกัน โดย "นริศร ทองธิราช" อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย นำบัตรลงคะแนนของคนอื่น 4-5 คน ไปเดินเสียบลงคะแนน แล้วถูก "รังสิมา รอดรัศมี" ส.ส. ปชป. ถ่ายคลิปไว้ ศาลฯ ได้ใช้หลัก 3 ข้อ มาวินิจฉัย คือ 1. ส.ส.หนึ่งคน มีสิทธิ์หนึ่งเสียง เมื่อนำบัตรของคนอื่นไปเสียบแทน แสดงว่าบุคคลนั้นใช้สิทธิ์เกินหนึ่งเสียง 2. ส.ส.ได้มีการปฏิญาณตนแล้วว่า จะต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อทำเช่นนี้ถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต และ 3. ส.ส.จะต้องมีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ในอาณัติของใคร เมื่อมีการนำบัตรไปเสียบแทน ถือเป็นการครอบงำผู้อื่น... ศาลจึงใช้หลักการทั้ง 3 ข้อนี้ วินิจฉัยเฉพาะเรื่องการลงมติว่า ไม่ชอบด้วยรธน. แต่ลำพังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้กฎหมายฉบับนั้นตกไป แต่ที่ร่างกฎหมายนั้นตกไป เพราะมีปัจจัยอื่น 4-5 สาเหตุ มาประกอบกัน
หรือกรณี "พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน" ที่ถูกร้องว่า มีการเสียบบัตรแทนกัน แล้วยังมีประเด็น ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินนี้ ทำโดยไม่ผ่านวิธีการงบประมาณ ซึ่งศาลฯ วินิจฉัยให้ตกไป เพราะไม่ใช่มีแค่การเสียบบัตรแทนกัน แต่มีเรื่องการทำที่ไม่ผ่านวิธีการงบประมาณด้วย
ต่างจากกรณี ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 63 ครั้งนี้ที่มีแค่เรื่องเสียบบัตรแทนกันเท่านั้น...จึงคิดว่าผลที่ออกมาอาจจะไม่เหมือนกัน
ก็คงต้องรอผลว่า ศาลรธน. จะพิจารณาคำร้องของ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ออกมาอย่างไร
จะว่าไปแล้ว... ปัญหาเกิดขึ้นเพราะคนในรัฐบาลทำกันเอง ที่ไปเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ทั้งที่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ "ผิด"... และอีกอย่างก็อาจคิดได้ว่า เป็นการ "คิดบัญชี" ของในพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง...
เพราะต้องไม่ลืมว่า "นาที รัชกิจประการ" นั้นเป็นแม่ทัพของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และสามารถ "ปักธง"ได้หลายเขต ส่วน"ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ก็เป็น ส.ส.พัทลุง ที่เขี่ย "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ส.ส.หลายสมัย ที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งเป็นแม่ทัพภาคใต้ ให้กลายเป็นส.ส.สอบตกไป ... แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีคนคาใจ !!
--------
รูป -พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา-ประสิทธิชัย เขาแก้ว
- นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ - นาที รัชกิจประการ - ฉลอง เทอดวีระพงศ์
** ปิดคดีโจรชิงทองลพบุรีสะท้านเมือง สะเทือนขวัญ เปิดโปรไฟล์ช็อกสังคม “ประสิทธิชัย”ข้าราชการครู ตำแหน่ง ผอ.รร. ฐานะดี นิสัย “ร่าเริง-รักเด็ก”แต่ทำไมโหดเหี้ยมอย่างนี้ “บิ๊กแป๊ะ”ผบ.ตร. ลั่น ไม่ใช่แพะ เบื้องลึกให้รอฟังวันนี้
ปิดคดีสะเทือนขวัญจากเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวชิงทอง ร้านทองออโรร่า ในห้างโรบินสัน อ.เมืองฯ จ.ลพบุรี แล้วใช้อาวุธปืนเก็บเสียงยิงประชาชน และพนักงานร้านทอง มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นเด็กอายุ 2 ขวบ บาดเจ็บอีก 4 ราย เหตุเกิด เมื่อวันที่ 9 ม.ค.63
ตำรวจใช้เวลา 13 วัน จนวันพุธที่ 22 ม.ค.ได้เข้าจับกุม “ประสิทธิชัย เขาแก้ว”ชายวัย 38 ปี ซึ่งพอสืบไปดูโปรไฟล์ถึงกับ"ช็อกสังคมอย่างยิ่ง" เพราะเขาเป็นข้าราชการครู มีตำแหน่งใหญ่ถึงผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโพธิ์ชัย จ.สิงห์บุรี
จากโปรไฟล์ที่ดี บวกกับ มีพ่อเป็นนายตำรวจนอกราชการ มารดารับราชการเป็นครู ฐานะทางบ้านค่อนดี จบการศึกษาปริญญาโท วิชาเอก กศ.ม.บริหารการศึกษา สอนชั้นประถมศักษา วิชาพละศึกษา สุขศึกษา
ขณะที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของ"ประสิทธิชัย"ได้โพสต์เรื่องราวต่างๆนั้น จัดว่าเป็นคนที่มีชีวิต“กินหรู อยู่สบาย”สังคมโซเชียลฯ จึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้แต่คนใกล้ชิด ญาติ เพื่อนครู ยังไม่อยากจะเชื่อ ว่า "ผอ.กอล์ฟ" จะเป็นผู้ก่อเหตุที่โหดเหี้ยมสะท้านเมืองนี้
งานนี้ "พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" ผบ.ตร. ซึ่งลงไปกำกับประชุมติดตามคดีมาตลอด จึงยืนยันด้วยการแถลงหลังจับกุม ผอ.ประสิทธิชัย ได้ว่าไม่ได้ผิดตัว "ไม่ใช่แพะ" แน่นอน เบื้องต้นเจ้าตัวยังสำนึกผิดไม่ได้ปฏิเสธ ขณะที่พยานหลักฐานทั้งนิติวิทยาศาสตร์ และพยานบุคคล ผู้ต้องหารายนี้เป็นเป้าตั้งแต่แรกที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่หาหลักฐาน หากจับแพะตำรวจจะมีที่ยืนในสังคมอย่างไร ?
ว่ากันว่า เบื้องหลังการจับกุม ต้องชื่นชม "พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช" ผู้บังคับการกองปราบปราม มีรายงานว่าภายหลังเกิดเหตุทาง พล.ต.ต.จิรภพ ได้สั่งการให้ "พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา" ผกก.2 บก.ป. "พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น" ผกก.3 บก.ป. และ "พ.ต.อ.วิจักษ์ ตารมย์" ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการกองปราบฯ ลงพื้นที่แกะรอยผู้ต้องหารายนี้ จนกระทั่งประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเบาะแสจาก “พลเมืองดี”ว่าคนร้ายที่น่าจะเป็น "ประสิทธิชัย เขาแก้ว" หรือ "กอล์ฟ" ผอ.โรงเรียนวัดโพธิ์ชัย สิงห์บุรี จึงได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบรวบรวมพยานหลักฐาน
สืบสวนใช้ประมาณ 7 วัน ก็พบว่ามีหลักฐานหลายอย่างโดยเฉพาะอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุเกี่ยวพันกับประสิทธิชัย พร้อมกับหลักฐานอื่นๆ เชื่อมโยงว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว โดยเฉพาะ “เหงื่อ” ที่ติดอยู่กับกระจกประตูห้างที่เขาใช้ร่างกายกระแทกเพื่อหลบหนี
ประเด็น“หยาดเหงื่อ”นี้ สังคมออนไลน์ก็พูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะมีรปภ. ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกยิงไล่หลังเป็นผู้พยายามจะล็อกประตู เพื่อปิดทาง"ประสิทธิชัย" ต้องได้รับการยกย่องอย่างสูงด้วยเป็นเป็นผู้ที่นำมาซึ่งหลักฐานสำคัญในการคลี่คลายคดีนี้
หลังจากรวบรวมหลักฐาน เจ้าหน้าที่จึงได้ขอหมายจับจากศาลอาญา กระทั่งศาลออกหมายจับให้เมื่อค่ำวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา
เช้าวันรุ่งขึ้น อังคารที่ 22 ม.ค. ชุดปฏิบัติการพิเศษ “หนุมาน”กองปราบฯ ตามแกะรอยจนทราบที่กบดานของประสิทธิชัย มีบ้านพักอยู่ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และกำลังจะขับรถไปสอนหนังสือ ที่โรงเรียนโพธิ์ชัยสิงห์บุรี เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงจัดกำลังพร้อมยุทโธปกรณ์ครบมือ แสดงตัวเข้าจับกุม ขณะกำลังขับรถยนต์ ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู รุ่นซีรีส์ 5 สีดำ โดยระหว่างที่เข้าจับกุมนั้น "ประสิทธิชัย"ไม่มีท่าทีขัดขืน หรือต่อสู้เจ้าหน้าที่เพราะตั้งตัวไม่ติด
ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้น เป็นปืนของพ่อที่เป็นอดีตตำรวจ หลังจากก่อเหตุเสร็จก็นำไปคืนพ่อ เมื่อวันที่ 10 ม.ค. ส่วนรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฟีโน่ สีแดง เป็นของพ่อตา ยืมมาเพื่อใช้ในการก่อเหตุ
ว่ากันว่า แรงจูงใจของ "ประสิทธิชัย" เป็นประเด็นที่สังคมอยากรู้ที่สุด เพราะพฤติการณ์ที่เหี้ยมโหด บ่างก็ว่าติดเกม ติดหนี้สิน รวมถึง รู้สึกเบื่อกับชีวิต ต้องการหาความท้าทาย ตื่นเต้น ชีวิตจะได้มีสีสัน ทำไปเพราะอยากตาย อยากถูกวิสามัญฯ แต่พอเข้าไปถึงสถานที่เกิดเหตุ ก็เปลี่ยนใจมาเป็นฆ่าผู้อื่นแล้วค่อยหนี
หลายๆคนที่รู้จัก "ผอ.กอล์ฟ" ต่างนึกไม่ออกว่าเขามีแรงจูงใจอะไรกันแน่ ด้วยนิสัยจากปากคำของเพื่อนครู หรือนักการภารโรงของโรงเรียน ก็ว่า ผอ.เป็นคนรักเด็ก ขีวิตส่วนตัวครอบครัวได้เข้าพิธีแต่งงานไปเมื่อเดือน เม.ย.60 นิสัยส่วนตัวเป็นคนร่าเริง ชอบรถบิ๊กไบค์ และชื่นชอบกีฬายิงปืน โดยที่ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะเป็นไปได้ถึงขั้นฆ่าคนอย่างเลือดเย็น
หลังก่อเหตุ "ประสิทธิชัย" ก็รู้ว่าหนีไม่รอด และถูกจับได้แน่ แต่ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมาถูกจับดังกล่าว คนก็สงสัยกันว่า ถ้าจะวิเคราะห์จิตของประสิทธิชัย ทำไมโหดเหี้ยมอย่างนี้ ก็ต้องบอกว่า อาจจะเป็นคนที่มีอีกบุคคลิกที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวหรือไม่ ? ที่ว่ากันว่า เป็นคนที่มีสองบุคคลิก ?
ปมลึกๆ จากคดีนี้ โปรดติดตามจากการแถลงสรุปคดีของ ผบ.ตร. อีกครั้ง "พล.ต.อ.จักรทิพย์" จะให้คำตอบทุกคำถาม ในการแถลงข่าวสรุปคดี 10.30 น. วันนี้ (23ม.ค.) อีกครั้ง !
** รัฐบาลงานเข้า!! เมื่อคนประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน ทำเอางบฯ 63 สะดุด...จะผิดมากผิดน้อยแค่ไหน ต้องรอศาลรธน.ตีความ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยังไม่ได้เริ่ม ฝ่ายค้านยังไม่ได้ออกอาวุธ แต่รัฐบาลก็ต้องมาสะดุดขาตัวเอง จนซวนเซ เสียทรง จากเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ซะแล้ว !!
เมื่อประชาธิปัตย์ โดย "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" รองหัวหน้าพรรค และอดีต ส.ส.พัทลุง ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา พร้อมแสดงหลักฐานว่า ในช่วงที่มีการพิจารณาวาระ 2 บางมาตรา และช่วงโหวต วาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนั้น มี 2 ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม โดย "ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ส.ส.พัทลุง ไปเปิดงานวันเด็ก ที่ จ.พัทลุง ขณะที่ "นาที รัชกิจประการ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ เดินทางไปจีน แต่กลับมีการลงคะแนนเสียง...นั่นแสดงว่ามีการ "เสียบบัตรแทนกัน"
"ชวน หลีกภัย" ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงได้สั่งการให้เลขาธิการสภาฯไปทำการตรวจสอบโดยเร่งด่วน... ผลปรากฏว่ามีการเสียบบัตรแทนกันจริง !!
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 63 ที่ผ่านฉลุย ทั้งสภาผู้แทน และวุฒิสภาไปแล้ว เตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้จึงต้องสะดุดลง รอจัดการเคลียร์ปัญหานี้ให้จบเสียก่อน ว่าจะต้องทำอย่างไร จะถึงขั้นเป็นโมฆะไปเลยหรือไม่
ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 90 คน จึงเข้าชื่อนำเรื่องยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ศาลรธน.ตีความใน 3 ประเด็นได้แก่ 1. กระบวนการ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ขัดหรือแย้งกับหลักการการออกเสียงลงคะแนนตามรธน. มาตรา 120 หรือไม่ 2. หากมีปัญหาจะมีปัญหาทั้งฉบับ หรือเฉพาะมาตรา ที่มีปัญหา และ 3. จะดำเนินการในแต่ละกรณีต่อไปอย่างไร
เมื่อฝ่ายค้านเห็นเช่นนั้น ก็เข้าชื่อ ส.ส.84 คน ยื่นตีความบ้าง แต่เป็นการยื่นให้ตีความตาม มาตรา 148(1) ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ตราขึ้นโดยชอบด้วยรธน. หรือไม่...ต่างจากฝ่ายรัฐบาลที่ยื่นตีความใน มาตรา 120 ซึ่งเป็นเรื่องของการออกเสียงแทนกัน
นัยของความแตกต่างกันคือ ฝ่ายรัฐบาลขอให้ตีความในกระบวนการทำงานของสภาฯ หากมีปัญหาตรงจุดใดก็สามารถแก้ไขในกระบวนการทางสภาฯได้ ส่วนของฝ่ายค้านให้ตีความในกระบวนการทำงานของรัฐบาล ในการตรา ร่าง พ.ร.บ.งบฯ
หากศาลรธน. วินิจฉัยตามคำร้องของฝ่ายค้านว่า กระบวนการตรา พ.ร.บ.งบฯ ไม่ชอบด้วยรธน. ถ้าบทบัญญัตินั้นเป็นสาระสำคัญ ก็จะทำให้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ ตกไป... แน่นอนว่าฝ่ายค้านก็มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้รัฐบาล "ยุบสภา หรือลาออก"
มีการนำเรื่องนี้ไปเที่ยบเคียงกับกรณีเสียบบัตรแทนกัน ในสมัยรัฐบาล"น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เมื่อปี 2557 ที่มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือ "พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" ซึ่งในครั้งนั้นศาลฯพิจารณาให้ ร่าง พ.ร.บ.นั้นตกไป
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำเอารัฐบาลออกอาการ "ตึงเครียด"ไม่ใช่น้อย ... แต่ "เนติบริกร" วิษณุ เครืองาม ได้ออกมาแสดงความเห็นปลอบใจรัฐบาลว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบจนทำให้เกิดความเสียหายใหญ่โตอะไร แค่ทำให้การได้ใช้งบฯ ล่าช้าออกไปเท่านั้น ... พร้อมยกกรณีเสียบบัตรแทนกันในอดีต กับครั้งนี้ มีรายละเอียดแตกต่างกัน ย่อมมีโทษ และผลกระทบ ต่างกัน
อย่างเช่น เมื่อปี 56 ที่มีการขอแก้ไขรธน. ซึ่งครั้งนั้น มีข้อกล่าวหาหลายเรื่อง รวมทั้งเสียบบัตรแทนกัน โดย "นริศร ทองธิราช" อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย นำบัตรลงคะแนนของคนอื่น 4-5 คน ไปเดินเสียบลงคะแนน แล้วถูก "รังสิมา รอดรัศมี" ส.ส. ปชป. ถ่ายคลิปไว้ ศาลฯ ได้ใช้หลัก 3 ข้อ มาวินิจฉัย คือ 1. ส.ส.หนึ่งคน มีสิทธิ์หนึ่งเสียง เมื่อนำบัตรของคนอื่นไปเสียบแทน แสดงว่าบุคคลนั้นใช้สิทธิ์เกินหนึ่งเสียง 2. ส.ส.ได้มีการปฏิญาณตนแล้วว่า จะต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อทำเช่นนี้ถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต และ 3. ส.ส.จะต้องมีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ในอาณัติของใคร เมื่อมีการนำบัตรไปเสียบแทน ถือเป็นการครอบงำผู้อื่น... ศาลจึงใช้หลักการทั้ง 3 ข้อนี้ วินิจฉัยเฉพาะเรื่องการลงมติว่า ไม่ชอบด้วยรธน. แต่ลำพังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้กฎหมายฉบับนั้นตกไป แต่ที่ร่างกฎหมายนั้นตกไป เพราะมีปัจจัยอื่น 4-5 สาเหตุ มาประกอบกัน
หรือกรณี "พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน" ที่ถูกร้องว่า มีการเสียบบัตรแทนกัน แล้วยังมีประเด็น ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินนี้ ทำโดยไม่ผ่านวิธีการงบประมาณ ซึ่งศาลฯ วินิจฉัยให้ตกไป เพราะไม่ใช่มีแค่การเสียบบัตรแทนกัน แต่มีเรื่องการทำที่ไม่ผ่านวิธีการงบประมาณด้วย
ต่างจากกรณี ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 63 ครั้งนี้ที่มีแค่เรื่องเสียบบัตรแทนกันเท่านั้น...จึงคิดว่าผลที่ออกมาอาจจะไม่เหมือนกัน
ก็คงต้องรอผลว่า ศาลรธน. จะพิจารณาคำร้องของ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ออกมาอย่างไร
จะว่าไปแล้ว... ปัญหาเกิดขึ้นเพราะคนในรัฐบาลทำกันเอง ที่ไปเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ทั้งที่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ "ผิด"... และอีกอย่างก็อาจคิดได้ว่า เป็นการ "คิดบัญชี" ของในพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง...
เพราะต้องไม่ลืมว่า "นาที รัชกิจประการ" นั้นเป็นแม่ทัพของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และสามารถ "ปักธง"ได้หลายเขต ส่วน"ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ก็เป็น ส.ส.พัทลุง ที่เขี่ย "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ส.ส.หลายสมัย ที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งเป็นแม่ทัพภาคใต้ ให้กลายเป็นส.ส.สอบตกไป ... แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีคนคาใจ !!
--------
รูป -พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา-ประสิทธิชัย เขาแก้ว
- นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ - นาที รัชกิจประการ - ฉลอง เทอดวีระพงศ์