**ต้องบอกว่างานนี้ความเสียหายเริ่มเหนือการควบคุมแล้ว หลังจากที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นำหลักฐานมาแฉว่า ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย คือ นายฉลอง เทิดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง ให้คนอื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทนตัวเอง เมื่อครั้งลงมติใน ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 โดยกล่าวหาว่าขณะลงมติ นายฉลอง ไปปรากฏตัวอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมสภาฯ
จากนั้นก็ได้แฉต่อเนื่องอีกว่า ยังมีนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อีกคนหนึ่งก็มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน คือ ขณะมีการลงมติ เธอได้เดินทางไปประเทศจีนกับคณะทัวร์ พร้อมทั้งนำหลักฐานที่เป็นรูปถ่ายที่สื่อให้เห็นว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทย
แน่นอนว่าว่างานนี้ ถือว่า“งานเข้า”ทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงรัฐบาลโดยรวมอีกด้วย เพราะจะว่าไปแล้ว กรณีการ “เสียบบัตรแทนกัน”ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องความผิดจากกรณีมีผู้ร้องในเรื่อง ร่าง พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ จำนวน 2 ล้านล้านบาท จะมีการนำมาเทียบเทียบเคียงกับการเสียบบัตรแทนกันในครั้งนี้ หรือไม่
อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร ตามคำสั่งของ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ข้อสรุปเบื้องต้นออกมาแล้วว่า มีการเสียบบัตรแทนกันจริง แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่า เป็นความผิดหรือไม่ เนื่องจากเจ้าตัวอ้างว่าได้เสียบบัตรคาเอาไว้ รวมไปถึงการอ้างว่า เป็นเพราะสถานที่ในห้องประชุมและอุปกรณ์ไม่พร้อม มีเครื่องในการเสียบบัตรลงคะแนนไม่เพียงพอกับจำนวนส.ส.ที่รอลงคะแนนในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการรวบรวมบัตรไปเสียบลงคะแนน
**แต่ที่สรุปได้ตอนนี้ก็คือ มีการลงชื่อของทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน เพื่อยื่นคำร้องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวแล้ว และที่สรุปได้อีกอย่างหนึ่งต่อเนื่องกันก็คือ การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในราวปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็ต้องล่าช้าออกไปแบบไม่มีกำหนด เพราะยังไม่รู้ว่าในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ จะเสร็จสิ้นในอีกกี่เดือน รวมไปถึงยังต้องลุ้นกันว่าจะต้องตกไปทั้งฉบับหรือไม่ หรือตกไปเพียงแต่บางมาตรา นั่นคือ ตกไปเฉพาะมาตรา ที่มีปัญหาในเรื่องการเสียบบัตรหรือไม่ ตอนนี้ก็ สุดจะคาดเดา เอาเป็นว่ามันเหนือการควบคุมแล้ว
รวมทั้งยังส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณในปีนี้ต้องล่าช้าออกไปอีก จากเดิมที่ล่าช้ามาถึงไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องการเบิกจ่ายเพื่อการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องชะงักออกไปอีกยาว แม้ว่าเวลานี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าด้วยการสั่งให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเตรียมการตั้งเบิกรอเอาไว้ หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาในภาพรวมด้วยการให้กระทรวงการคลัง เตรียมการเสนอร่างพระราชกำหนดงบประมาณ ปี 63 เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณได้อย่างเร่งด่วนตามกำหนด หากร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณต้องตกไปทั้งฉบับก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังไม่มีความชัดเจน ต้องรออย่างเดียว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ น่าจะมาจาก “ความแค้น” สะสมมาจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ที่กลายเป็นว่า ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย สามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไปได้ และหากโฟกัสให้ลึกลงไปอีกก็จะเห็นว่า “แม่ทัพ”ที่ควบคุมเกมในครั้งนี้ของพรรคภูมิใจไทย ก็คือ นางนาที รัชกิจประการ ซึ่งทำธุรกิจทางด้านน้ำมันมาก่อน และที่สำคัญเป็นการพ่ายแพ้แบบหมดรูปในรอบหลายปีเสียด้วย
**การพ่ายแพ้ดังกล่าว สำหรับ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แล้วถือว่าเสียหายอย่างมาก ที่สำคัญก็คือ“เสียหน้า”เพราะในเวลานั้นเขาก็เป็นแม่ทัพในภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย ขณะเดียวกันสำหรับพื้นที่เลือกตั้งในพัทลุง ถือว่าเป็นอีกเขตที่มีการร้องเรียนการทุจริตกันแบบคาราคาซัง หลายเรื่อง ยังไม่มีข้อสรุปในอีกหลายกรณีที่ยังคาอยู่ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มาจนถึงทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน ในกรณีการเปิดโปงเรื่องการเสียบบัตรแทนกันในครั้งนี้โดย นายนิพิฏฐ์ ซึ่งเป้าหมายก็ช่วยไม่ได้ที่หลายคนมองว่า เบื้องต้นต้องพุ่งไปที่ นายฉลอง และนางนาที นั่นเอง และในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมี “ภูมิหลัง”อันเข้มข้น มันก็ต้องมองในเรื่องความขัดแย้งเก่าก่อนเข้ามาด้วย แม้ว่ายังไม่อาจสรุปว่าผลออกมาใครถูก หรือผิดอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีผลสรุปออกมาแน่นอน แต่นาทีนี้ ถือว่าทุกอย่างได้บานปลายจนเหนือการควบคุมแล้ว และที่สำคัญยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ที่ซ้ำเติมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ยังอาจเป็นการเพิ่มรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย ที่แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อครั้งจับมือแพ็กกันแน่น เพื่อต่อรองกับพรรคพลังประชารัฐเมื่อครั้งฟอร์มรัฐบาลใหม่ๆ ก็ตาม แต่เวลานี้ถือว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป สังเกตได้จากการปะทะกันจากคำพูดของระดับแกนนำพรรคภูมิใจไทยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะแม้ว่าจุดเริ่มต้นยังเป็นการขัดแย้งในเขตเลือกตั้ง แต่เมื่อเกิดเป็นความเสียหายลุกลามในวงกว้าง โดยเฉพาะกับรัฐบาล มันก็อาจเกิดรายการ“เขม่น”เพิ่มเติมขึ้นมาอีกก็เป็นได้
ที่สำคัญหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ก็ต้องยอมรับความจริงว่า นายนิพิฏฐ์ เขาอยู่ในทีมของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศยืนยันชัดเจนก่อนการเลือกตั้งว่า“ไม่เอาลุงตู่”อีกด้วย ซึ่งนี่ก็คือข้อมูลในอดีตที่บางคนต้องอาจนำมาพิจารณาประกอบเข้าไปด้วยก็ได้ เพื่อให้เห็นภาพการเมืองบางช่วงเท่านั้นเอง !!
จากนั้นก็ได้แฉต่อเนื่องอีกว่า ยังมีนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อีกคนหนึ่งก็มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน คือ ขณะมีการลงมติ เธอได้เดินทางไปประเทศจีนกับคณะทัวร์ พร้อมทั้งนำหลักฐานที่เป็นรูปถ่ายที่สื่อให้เห็นว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทย
แน่นอนว่าว่างานนี้ ถือว่า“งานเข้า”ทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงรัฐบาลโดยรวมอีกด้วย เพราะจะว่าไปแล้ว กรณีการ “เสียบบัตรแทนกัน”ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องความผิดจากกรณีมีผู้ร้องในเรื่อง ร่าง พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ จำนวน 2 ล้านล้านบาท จะมีการนำมาเทียบเทียบเคียงกับการเสียบบัตรแทนกันในครั้งนี้ หรือไม่
อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร ตามคำสั่งของ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ข้อสรุปเบื้องต้นออกมาแล้วว่า มีการเสียบบัตรแทนกันจริง แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่า เป็นความผิดหรือไม่ เนื่องจากเจ้าตัวอ้างว่าได้เสียบบัตรคาเอาไว้ รวมไปถึงการอ้างว่า เป็นเพราะสถานที่ในห้องประชุมและอุปกรณ์ไม่พร้อม มีเครื่องในการเสียบบัตรลงคะแนนไม่เพียงพอกับจำนวนส.ส.ที่รอลงคะแนนในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดการรวบรวมบัตรไปเสียบลงคะแนน
**แต่ที่สรุปได้ตอนนี้ก็คือ มีการลงชื่อของทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน เพื่อยื่นคำร้องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวแล้ว และที่สรุปได้อีกอย่างหนึ่งต่อเนื่องกันก็คือ การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในราวปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็ต้องล่าช้าออกไปแบบไม่มีกำหนด เพราะยังไม่รู้ว่าในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ จะเสร็จสิ้นในอีกกี่เดือน รวมไปถึงยังต้องลุ้นกันว่าจะต้องตกไปทั้งฉบับหรือไม่ หรือตกไปเพียงแต่บางมาตรา นั่นคือ ตกไปเฉพาะมาตรา ที่มีปัญหาในเรื่องการเสียบบัตรหรือไม่ ตอนนี้ก็ สุดจะคาดเดา เอาเป็นว่ามันเหนือการควบคุมแล้ว
รวมทั้งยังส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณในปีนี้ต้องล่าช้าออกไปอีก จากเดิมที่ล่าช้ามาถึงไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องการเบิกจ่ายเพื่อการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องชะงักออกไปอีกยาว แม้ว่าเวลานี้ฝ่ายรัฐบาลกำลังแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าด้วยการสั่งให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเตรียมการตั้งเบิกรอเอาไว้ หรือแม้กระทั่งการแก้ปัญหาในภาพรวมด้วยการให้กระทรวงการคลัง เตรียมการเสนอร่างพระราชกำหนดงบประมาณ ปี 63 เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณได้อย่างเร่งด่วนตามกำหนด หากร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณต้องตกไปทั้งฉบับก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังไม่มีความชัดเจน ต้องรออย่างเดียว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ น่าจะมาจาก “ความแค้น” สะสมมาจากการเลือกตั้งคราวที่แล้ว ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ที่กลายเป็นว่า ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย สามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไปได้ และหากโฟกัสให้ลึกลงไปอีกก็จะเห็นว่า “แม่ทัพ”ที่ควบคุมเกมในครั้งนี้ของพรรคภูมิใจไทย ก็คือ นางนาที รัชกิจประการ ซึ่งทำธุรกิจทางด้านน้ำมันมาก่อน และที่สำคัญเป็นการพ่ายแพ้แบบหมดรูปในรอบหลายปีเสียด้วย
**การพ่ายแพ้ดังกล่าว สำหรับ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แล้วถือว่าเสียหายอย่างมาก ที่สำคัญก็คือ“เสียหน้า”เพราะในเวลานั้นเขาก็เป็นแม่ทัพในภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย ขณะเดียวกันสำหรับพื้นที่เลือกตั้งในพัทลุง ถือว่าเป็นอีกเขตที่มีการร้องเรียนการทุจริตกันแบบคาราคาซัง หลายเรื่อง ยังไม่มีข้อสรุปในอีกหลายกรณีที่ยังคาอยู่ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มาจนถึงทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน ในกรณีการเปิดโปงเรื่องการเสียบบัตรแทนกันในครั้งนี้โดย นายนิพิฏฐ์ ซึ่งเป้าหมายก็ช่วยไม่ได้ที่หลายคนมองว่า เบื้องต้นต้องพุ่งไปที่ นายฉลอง และนางนาที นั่นเอง และในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมี “ภูมิหลัง”อันเข้มข้น มันก็ต้องมองในเรื่องความขัดแย้งเก่าก่อนเข้ามาด้วย แม้ว่ายังไม่อาจสรุปว่าผลออกมาใครถูก หรือผิดอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็ต้องมีผลสรุปออกมาแน่นอน แต่นาทีนี้ ถือว่าทุกอย่างได้บานปลายจนเหนือการควบคุมแล้ว และที่สำคัญยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ที่ซ้ำเติมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ยังอาจเป็นการเพิ่มรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทย ที่แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อครั้งจับมือแพ็กกันแน่น เพื่อต่อรองกับพรรคพลังประชารัฐเมื่อครั้งฟอร์มรัฐบาลใหม่ๆ ก็ตาม แต่เวลานี้ถือว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป สังเกตได้จากการปะทะกันจากคำพูดของระดับแกนนำพรรคภูมิใจไทยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะแม้ว่าจุดเริ่มต้นยังเป็นการขัดแย้งในเขตเลือกตั้ง แต่เมื่อเกิดเป็นความเสียหายลุกลามในวงกว้าง โดยเฉพาะกับรัฐบาล มันก็อาจเกิดรายการ“เขม่น”เพิ่มเติมขึ้นมาอีกก็เป็นได้
ที่สำคัญหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ก็ต้องยอมรับความจริงว่า นายนิพิฏฐ์ เขาอยู่ในทีมของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศยืนยันชัดเจนก่อนการเลือกตั้งว่า“ไม่เอาลุงตู่”อีกด้วย ซึ่งนี่ก็คือข้อมูลในอดีตที่บางคนต้องอาจนำมาพิจารณาประกอบเข้าไปด้วยก็ได้ เพื่อให้เห็นภาพการเมืองบางช่วงเท่านั้นเอง !!