ผู้จัดการรายวัน360- "บิ๊กป้อม" เรียกประชุม ระดมสมอง แก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 วันนี้ มท.1 ย้ำต้องแก้ที่สาเหตุ เกาให้ถูกที่คัน ด้าน"รมว.ทส." ขออภัยในความไม่สะดวกบางมาตรการกระทบประชาชน มอบการบ้านกรมควบคุมมลพิษ ปรับปรุงแอปฯวัดค่าฝุ่น หลังนักวิชาการ-แพทย์ท้วง ไม่เรียลไทม์ "องอาจ"เสนอญัตติด่วน ให้สภาฯ ถกแนวทางแก้
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันนี้ 23 ม.ค. เวลา 13.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และ12 มาตรการเร่งด่วน ที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเสนอในที่ประชุม ครม. และจะมีผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ องค์กรที่ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่ได้เชิญมาให้ความเห็นต่อคณะกรรมการฯด้วย เพราะต้องการให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วม อยากจะรับฟังความเห็นทุกฝ่ายก่อนจะออกมาเป็นมาตรการ เนื่องจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้ย้ำในที่ประชุมครม. ว่า ต้องเป็นมาตรการที่ปฏิบัติได้จริง จึงอยากให้ทุกหน่วยงานมาหารือกัน
สำหรับข้อเสนอเรื่องการทำงานเหลื่อมเวลา ไม่มีอยู่ใน 12 มาตรการเร่งด่วน ที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษ เสนอ แต่ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม วันที่ 23 ม.ค. อาจไม่แน่ เพราะหากมีข้อเสนอใดๆ เข้ามา คงจะได้หารือเพิ่มเติมกัน เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการแก้ปัญหานี้ ว่า เดิมมีแนวทางของกระทรวงทรัพย์ฯ ที่วางไว้อยู่แล้วว่า ถ้าระดับฝุ่น PM 2.5 ความเข้มข้นไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่จะดำเนินการในภาวะปกติ แต่หากเกิน 50 -75 ไมโครกรัมต่อลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องเข้ามากวดขันสาเหตุ และถ้าเกิน 76-100 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องมีมาตรการกำจัดแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น การใช้ กม.ควบคุมอาคาร กม.จราจร แต่ถ้าเกิน 100 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวันนี้(23 ม.ค.) จะมีการหารือให้ได้แนวทางที่ดีที่สุด เช่น การห้ามใช้รถนั้น มีรายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมาก เราจึงต้องคิดแก้ปัญหาให้ตรงจุด เกาให้ถูกที่คัน และที่สำคัญต้องให้คนยอมรับ ทั้งนี้ปัญหาเกิดในประเทศไทย คนไทยเป็นคนทำให้เกิด และคนไทยเองที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นเราจึงต้องไปแก้ปัญหาที่สาเหตุ
ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าการหยุดเรียนเป็นสิ่งที่นักเรียนไม่พึงประสงค์ แต่การลดการจราจรบนท้องถนนในระยะสั้นได้ ถือเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยได้อย่างมาก เพราะตัวเลขบ่งชี้ชัดเจนว่า ปริมาณ pm2.5 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯนั้น 76% มาจากยานพาหนะบนท้องถนน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นักวิชาการและแพทย์ระบุว่า แอปพลิเคชั่น ที่กรมควบคุมมลพิษใช้ดูเป็นหลักอยู่นั้น ไม่สามารถตรวจวัดได้แบบเรียลไทม์ นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้จะเป็นการบ้าน ที่กรมควบคุมมลพิษต้องไปเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูล แต่ตนเชื่อว่าประชาชนชาวกทม. มีความตื่นตัวเรื่องคุณภาพอากาศ สุขภาพ เพราะห็นว่าหลายคนได้สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งตนก็ต้องกราบขออภัยในความไม่สะดวก โดยทาง ทส. กำลังพยายามทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งการประสานงานข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือผ่านคณะทำงานของ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้บรรจุญัตติด่วน ให้สภาฯพิจารณาแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5โดยนายองอาจ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะออก 12 มาตรการ ในการแก้ปัญหาออกมาแล้ว แต่อยากให้ ส.ส.ได้สนใจ และมีส่วนร่วมในการหารือ เสนอแนวทาง วิธีการแก้ไขปัญหา เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหามา 2 ปีแล้ว มีการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว แต่ยังไม่เห็นภาพชัด ดังนั้น หากจะให้มาตรการได้ผล ควรมีแรงจูงใจที่จะให้ประชาชนร่วมมือด้วย และลดค่าใช้จ่ายในการใช้ขนส่งสาธารณะ การตรวจจับรถควันดำต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยที่รัฐบาลต้องอดทนต่อเสียงวิจารณ์ และเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันนี้ 23 ม.ค. เวลา 13.30 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และ12 มาตรการเร่งด่วน ที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเสนอในที่ประชุม ครม. และจะมีผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ องค์กรที่ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่ได้เชิญมาให้ความเห็นต่อคณะกรรมการฯด้วย เพราะต้องการให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วม อยากจะรับฟังความเห็นทุกฝ่ายก่อนจะออกมาเป็นมาตรการ เนื่องจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้ย้ำในที่ประชุมครม. ว่า ต้องเป็นมาตรการที่ปฏิบัติได้จริง จึงอยากให้ทุกหน่วยงานมาหารือกัน
สำหรับข้อเสนอเรื่องการทำงานเหลื่อมเวลา ไม่มีอยู่ใน 12 มาตรการเร่งด่วน ที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษ เสนอ แต่ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม วันที่ 23 ม.ค. อาจไม่แน่ เพราะหากมีข้อเสนอใดๆ เข้ามา คงจะได้หารือเพิ่มเติมกัน เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการแก้ปัญหานี้ ว่า เดิมมีแนวทางของกระทรวงทรัพย์ฯ ที่วางไว้อยู่แล้วว่า ถ้าระดับฝุ่น PM 2.5 ความเข้มข้นไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่จะดำเนินการในภาวะปกติ แต่หากเกิน 50 -75 ไมโครกรัมต่อลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องเข้ามากวดขันสาเหตุ และถ้าเกิน 76-100 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องมีมาตรการกำจัดแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น การใช้ กม.ควบคุมอาคาร กม.จราจร แต่ถ้าเกิน 100 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวันนี้(23 ม.ค.) จะมีการหารือให้ได้แนวทางที่ดีที่สุด เช่น การห้ามใช้รถนั้น มีรายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมาก เราจึงต้องคิดแก้ปัญหาให้ตรงจุด เกาให้ถูกที่คัน และที่สำคัญต้องให้คนยอมรับ ทั้งนี้ปัญหาเกิดในประเทศไทย คนไทยเป็นคนทำให้เกิด และคนไทยเองที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นเราจึงต้องไปแก้ปัญหาที่สาเหตุ
ด้านนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าการหยุดเรียนเป็นสิ่งที่นักเรียนไม่พึงประสงค์ แต่การลดการจราจรบนท้องถนนในระยะสั้นได้ ถือเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยได้อย่างมาก เพราะตัวเลขบ่งชี้ชัดเจนว่า ปริมาณ pm2.5 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯนั้น 76% มาจากยานพาหนะบนท้องถนน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นักวิชาการและแพทย์ระบุว่า แอปพลิเคชั่น ที่กรมควบคุมมลพิษใช้ดูเป็นหลักอยู่นั้น ไม่สามารถตรวจวัดได้แบบเรียลไทม์ นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้จะเป็นการบ้าน ที่กรมควบคุมมลพิษต้องไปเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูล แต่ตนเชื่อว่าประชาชนชาวกทม. มีความตื่นตัวเรื่องคุณภาพอากาศ สุขภาพ เพราะห็นว่าหลายคนได้สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งตนก็ต้องกราบขออภัยในความไม่สะดวก โดยทาง ทส. กำลังพยายามทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งการประสานงานข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือผ่านคณะทำงานของ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้บรรจุญัตติด่วน ให้สภาฯพิจารณาแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5โดยนายองอาจ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะออก 12 มาตรการ ในการแก้ปัญหาออกมาแล้ว แต่อยากให้ ส.ส.ได้สนใจ และมีส่วนร่วมในการหารือ เสนอแนวทาง วิธีการแก้ไขปัญหา เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหามา 2 ปีแล้ว มีการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว แต่ยังไม่เห็นภาพชัด ดังนั้น หากจะให้มาตรการได้ผล ควรมีแรงจูงใจที่จะให้ประชาชนร่วมมือด้วย และลดค่าใช้จ่ายในการใช้ขนส่งสาธารณะ การตรวจจับรถควันดำต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยที่รัฐบาลต้องอดทนต่อเสียงวิจารณ์ และเดินหน้าแก้ปัญหาต่อไป
