ปลายสัปดาห์ที่แล้ว...ต้องหายหน้าไป 2 วัน ด้วยเหตุเพราะมีธุระปะปังและเกิดอาการ “ไขข้ออักเสบ” ควบคู่กันไป เปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยคงต้องแวะไปดูๆ เรื่องการลงนามข้อตกลงทางการค้า “เฟสแรก” ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณพ่ออเมริกา เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้ว ที่ถือเป็น “ไฮไลต์” ชนิดใครต่อใครหยิบมาพูดจาว่ากล่าวกันตามสมควร...
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในบ้านเรา หรือนอกบ้าน นอกประเทศ ก็ดูจะเห็นไปในแนวเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่นคุณพี่ “โสภณ องค์การณ์” อาจารย์ “สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร” หรือคุณ “โชกุน” แห่งคอลัมน์ “ฝั่งขวาเจ้าพระยา” ที่ต่างว่าๆ ไว้แล้วในเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ว่าคงไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้ลล์ล์ล์ ยินดีมากมายสักเท่าไหร่ แม้จะเป็นการบรรลุข้อตกลงเพื่อคลี่คลายปัญหาและอุปสรรค อันทำให้โลกทั้งโลกต้องพลอย “ซวย” ไปด้วย อันเนื่องมาจากการเผชิญหน้าใน “สงครามการค้า” ระหว่าง 2 ผู้นำเศรษฐกิจโลก ชนิดต่อเนื่องยาวนานมาเป็นปีๆ...
พูดง่ายๆ ว่า...การบรรลุข้อตกลงที่ว่านี้ มันดูจะออกไปทาง “ดรามา” มากกว่าจะก่อให้เกิดผลแบบเป็นจริงเป็นจัง หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญระหว่างระหว่างประเทศ อย่าง “นายริชาร์ด วูล์ฟ” (Richard Wolf) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้ให้สัมภาษณ์รายการ “Boom Bust” ของสำนักข่าว “RT” ไปเมื่อวัน-สองวันนี้ ซึ่งได้สรุปเอาไว้สั้นๆ ประมาณว่า... “ผมไม่เห็นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมามากมาย จากการบรรลุข้อตกลงคราวนี้ เพราะนี่คือการแสดงละครซะ 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่ง...ก็สำหรับคณะบริหารของทรัมป์เพราะเขาเป็นผู้ริเริ่มสงครามเหล่านี้มาแต่แรก และอีกส่วนหนึ่งก็สำหรับฝ่ายจีนด้วยเช่นกัน ที่ต้องการสร้างบรรยากาศความร่วมมือ และไม่ต้องการที่จะให้ตัวเองเป็นตัวปัญหา...” อะไรทำนองนั้น...
ด้วยเหตุนี้...ใครที่อยากจะมอง “โลกสวย” ก็คงต้อง “ทำใจ” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ เพราะโดยแนวโน้มของ “โลกแห่งความเป็นจริง” อะไรต่อมิอะไรมันน่าจะออกไปทาง “ซวย” เหมียนเดิม อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เผลอๆ อาจหนักกว่าเดิม ซวยซะยิ่งกว่าเดิมเอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะหลังการลงนามข้อตกลงระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลกคราวนี้ แค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายGeng Shuang” ต้องออกมาเอะอะโวยวายเมื่อช่วงวันศุกร์ (17 ม.ค.) ที่ผ่านมา ถึงกรณีที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งเรือรบลาดตระเวน “USS Shiloh” ติดขีปนาวุธระบบ “Aegis” พิสัยกลาง พิสัยใกล้ แล่นเข้าไปอวดธง โชว์ธงบริเวณช่องแคบไต้หวัน ที่ประธานาธิบดีคนใหม่ “นางไช่ อิงเหวิน” ผู้มีนโยบาย “ต่อต้านจีน” เพิ่งกวาดชัยชนะแบบถล่มทลาย จากการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ได้ถึง 57.1 เปอร์เซ็นต์ โดยชาวไต้หวันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 8.2 ล้านคน ชนิดไม่ต่างไปจากการแสดงออกถึง “หลักประกัน” ให้กับดินแดนที่ถูกถือว่าเป็น “จีนเดียว” ตามมาตรฐานของคุณพี่จีนนั่นเอง...
ยิ่งมี “ส่งสาส์น” ไปแสดงความยินดีต่อชัยชนะของผู้ที่มีนโยบายต่อต้านจีนรายนี้ กันอย่างเอิกเกริกพอสมควร โดยเฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายไมค์ ปอมเปโอ” ที่ถึงกับเน้นย้ำเอาไว้ว่า “รูปแบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และสังคมพลเรือนของไต้หวัน ทำให้ไต้หวันถือเป็นต้นแบบสำหรับประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และจะเป็นพลังอันช่วยให้โลกใบนี้มีแต่สิ่งที่ดี” ก็ยิ่งเท่ากับแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศความเป็นปรปักษ์ หรือเป็นด้านตรงกันข้ามแบบคนละเรื่อง-คนละม้วนกับการประนีประนอม การบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสองฝ่าย อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ดังนั้นใครที่ยังละเมอเพ้อพก คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้นไปตามลำดับ หลังการบรรลุข้อตกลงการค้าใน “เฟสแรก” ของจีนและอเมริกา คงต้องคิดใหม่-ทำใหม่ หรือคงต้อง “ตื่นๆ” กันได้แล้ว...
ยิ่งได้ฟังจากคำพูดของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คราวล่าสุด ระหว่างการปาฐกถาที่สถาบันฮูเวอร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อช่วงวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ถึง “ยุทธศาสตร์การป้องปราม” ของอเมริกา หรือ “The Restoration of Deterrence:The Iranian Example” ที่โดยเนื้อหาสาระ สามารถสรุปแบบสั้นๆ ง่ายๆ ได้ประมาณว่า การตัดสินใจ “ลอบฆ่า” หรือ “ลอบสังหาร” ผู้นำทางทหารของอิหร่าน อย่างนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” ที่เพิ่งผ่านมานั้น เป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่า” ที่จะเอาไว้ “ข่มขวัญศัตรู” หรือข่มขวัญมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียนั่นเอง หรือเพื่อทำให้ “ศัตรูของคุณจะต้องรับรู้ว่า...คุณไม่เพียงแต่มีศักยภาพพอที่จะทำให้พวกเขาสูญเสียเท่านั้น แต่คุณพร้อมที่จะเอาจริงด้วย...” หรือพูดง่ายๆ ว่าหลังจากที่ถูก “หมากล้อม” ของจีนและรัสเซีย ล้อมหน้า ล้อมหลัง จนทำอะไรแทบไม่ได้ ชนิดไม่ว่าการเมือง การทูต เศรษฐกิจ มีแต่เสื่อมโทรม ล้มเหลวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ การหันมางัดเอา “จุดแข็ง” หรือหันมาใช้ “อำนาจทางทหาร” ดำเนินการลอบฆ่า ลอบสังหารฝ่ายตรงข้ามให้เห็นเป็น “ตัวอย่าง” จึงไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามงัดเอา “หมากรุก” ออกมาโขกกันกลางกระดานนั่นเอง...
ดังนั้น...แนวโน้มแห่งการเผชิญหน้าและความตึงเครียดทางทหาร มีแต่ต้องถูก “ยกระดับ” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนั่นย่อมทำให้โลกที่ “ซวย” อยู่แล้ว มีแต่ยิ่งต้องซวยหนักยิ่งไปกว่าเดิมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่ว่าจะโดยการขู่ขวัญ ขู่คำราม การอาศัยสงครามตัวแทน หรือสงครามเย็นยุคใหม่ ฯลฯ ก็แล้วแต่ และอาจด้วยบรรยากาศทำนองนี้หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ที่ทำให้เมื่อมีการสำรวจและวิจัยความคิดเห็นของผู้คน อย่างเช่น การสำรวจวิจัยของ “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ” (International Committee of the Red Cross) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยอาศัยไหว้วาน ให้บริษัทสำรวจวิจัยชื่อว่า “Ipsos” ทำการสอบถามความคิด ความรู้สึกของผู้คนจำนวนถึง 16,000 คน จาก 16 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าประเทศที่กำลังมีสงคราม หรือไม่มีสงคราม ก็แล้วแต่ เช่น อเมริกา อังกฤษ รัสเซีย อิสราเอล สวิส ซีเรีย ยูเครน ฯลฯ ปรากฏว่าผู้คนถึง 47 เปอร์เซ็นต์ ที่แม้เป็น “คนรุ่นใหม่” หรือคนยุค “มิลเลนเนียม” ผู้มีอายุอานามประมาณ 20-35 ปี ต่างเชื่อ หรือเห็นไปในแนวเดียวกัน ว่าตัวเองกำลังใกล้จะเผชิญกับ “สงครามโลกครั้งที่ 3” ภายในอีกไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้!!!
โดยมีถึง 54 เปอร์เซ็นต์...ที่เห็นว่าฉากสงครามซึ่งกำลังจะอุบัติขึ้นมาในอนาคตเบื้องหน้า อาจเป็น “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยถึงขั้นนั้น และแม้จะเป็นแค่ “ความเชื่อ” หรือ “ความรู้สึก” ก็ตาม แต่ย่อมส่งผลให้บรรยากาศแบบ “โลกสวย” มันน่าจะไม่เหลือติดปลายนวมใครต่อใครมากมายสักเท่าไหร่นัก “โลกแห่งความเป็นจริง” นับตั้งแต่ปีหนู หรือปี ค.ศ. 2020 มันจึงออกจะเป็นโลกที่ค่อนข้างน่าเกลียดและน่ากลัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และคงต้อง “เตรียมตัว-เตรียมใจ” หรือ “ทำใจ” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังอายุน้อยๆ ทั้งหลาย เพราะสำหรับคนแก่ คนชรา อย่าง “ทับทิม พญาไท” อาจต้องถือว่า “โชคดี...ที่ตายก่อน” หรือตายก่อนที่จะมีโอกาสได้เห็น “สงครามโลก” หรือ “สงครามนิวเคลียร์” อุบัติขึ้นมาหรือไม่ อย่างไร ในอนาคตอีกไม่นานนับจากนี้???