สถานการณ์การเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน ทำท่าว่าจะขยายตัวทำให้คนทั้งโลกหายใจไม่ทั่วท้องประเมินยังไม่ได้ว่าจะลุกลามไปถึงขั้นไหนเมื่ออิหร่านเริ่มตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพของอิรัก ซึ่งมีทหารอเมริกันอยู่ 5 พันนาย
ชิมลางก่อนด้วยการยิงขีปนาวุธมากกว่าหนึ่งโหลและอิหร่านเอาคลิปภาพให้ชมเมื่อโจมตีด้วย
เบื้องต้นยังไม่มีตัวเลขผู้บาดเจ็บล้มตายหรือความเสียหายชัดเจน ฝ่ายสหรัฐฯ กำลังประเมินท่าทีว่าจะตอบโต้อย่างไร เพราะถ้าลงมือทันทีก็ย่อมคาดการณ์ได้ว่าอิหร่านก็จะตอบโต้ทุกเม็ด เช่นกัน
ผู้นำศาสนาของอิหร่าน อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี ประกาศว่าการยิงจรวดใส่กองกำลังทหารสหรัฐฯ เป็นเหมือนกันตบหน้า และแค่นี้ยังไม่พอ สหรัฐฯ จะต้องอยู่ไม่ได้ต่อไป
คนที่เฝ้าติดตามดูสถานการณ์ก็อยากรู้ว่าผู้นำสหรัฐฯ จะมีมาตรการอะไรออกมาอีก และจะหนักหน่วงรุนแรงแค่ไหน
แต่ก็ดันมีเหตุร้ายแทรกอย่างไม่คาดฝันเมื่อเครื่องบินโดยสารของยูเครนบรรทุกผู้โดยสาร 176 คน ตกชานเมืองเตหะรานหลังจากขึ้นจากสนามบินอิหม่ามโคเมนีเพียงไม่กี่นาทีและไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
ดังนั้นมีการคาดไปต่างๆ นานาว่าเครื่องบินตกครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวโยงกับปัญหาระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านหรือไม่ แม้ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเดินทางจากเตหะรานไปเมืองเคียฟในยูเครนก็ตาม
ก็ต้องสอบสวนหาสาเหตุต่อไปว่าการตกของเครื่องบินโบอิ้ง 737 ครั้งนี้มีใครเล่นเกมสกปรกหรือไม่เพราะเป็นความบังเอิญแบบพอดีอย่างร้ายกาจ
และบ่ายวันเดียวกันดันมีแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ริกเตอร์ ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของอิหร่าน ยังไม่มีรายงานความเสียหาย ถือว่าเป็นความบังเอิญน่าเหลือเชื่อด้วย
เพราะในยุคนี้ประเทศที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีสูงสามารถบังคับภาวะดินฟ้าอากาศได้ดังที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่ามีการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสร้างพายุหรือภัยพิบัติอย่างอื่นได้
ทั้งเครื่องบินตก แผ่นดินไหว วันเดียวกัน ในยามที่อิหร่านอยู่ในภาวะสงครามที่ยังไม่ประกาศเต็มรูปแบบกับชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกนั้น มันเกินที่จะให้เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุและภัยธรรมชาติธรรมดา แม้อิหร่านก็มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นหลายครั้งหนักบ้างเบาบ้าง
จะมีเหตุร้ายแบบคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกหรือไม่ก็ต้องรอดูเพราะความบังเอิญหรือพอดีในช่วงนี้มันทำให้ทำใจเชื่อได้ยาก
แต่การประลองกำลังระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านจะยังคงมีต่อไปเพราะสองประเทศเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานถึง 41 ปีแล้ว แบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ โอกาสที่จะคืนดีกันคงจะยาก ตราบใดที่ผู้นำทำเนียบขาวยังคงเป็นโดนัลด์ ทรัมป์จอมอหังการ ห้าวห่าม
การยิงขีปนาวุธกว่าหนึ่งโหลเมื่อเช้าวันพุธตามเวลาประเทศไทย เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าอิหร่านพูดจริงและทำจริงไม่สนใจว่าผู้นำทำเนียบขาวจะตอบโต้กลับแบบรวดเร็วและรุนแรงอย่างไร
เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เจออย่างนี้ต้องเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงและผู้นำกองทัพเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเห็นชัดแล้วว่าอิหร่านไม่ได้เกรงกลัวศักดิ์ศรีหรือแสนยานุภาพของชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
อย่าว่าแต่สหรัฐฯ เลย ผู้นำชาติอื่นก็ตามเมื่อเห็นความกล้าของอิหร่านแล้วก็ต้องยกหัวแม่โป้งให้เช่นกันเพราะเชื่อมั่นว่าถึงอย่างไรโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะไม่กล้าถล่มด้วยอาวุธร้ายแรงอย่างไม่ยั้งคิดเพราะก็ต้องหวั่นกระแสต่อต้านในประเทศและประชาคมโลกเช่นกัน
เมื่อเหตุการณ์แปรผันอย่างรวดเร็ว ทำให้คาดได้ยากว่าจะมีใครยกระดับการโจมตีไปมากกว่านี้หรือไม่ และถ้าหากว่าอิหร่านยอมสู้แบบตายเป็นตาย ผู้นำสหรัฐฯ จะกล้าแลกแบบวัดดวงด้วยหรือไม่
เพราะอิหร่านประกาศย้ำพร้อมสำทับแล้วว่า ถ้าสหรัฐฯ ตอบโต้กลับคราวนี้แหล่ะจะขยายพื้นที่ไปโจมตีเป้าหมายในแผ่นดินสหรัฐฯ นั่นเลย และไม่ใช่เรื่องยากเพราะสังคมอเมริกันอาวุธหาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นปืนร้ายแรงระดับไหน ถ้ามีเงินก็ซื้อได้ทั้งนั้น รวมทั้งวัตถุระเบิดหรือแม้แต่จรวดยิงต่อสู้รถถัง
และสหรัฐฯ มีพื้นที่กว้างใหญ่มีเมืองใหญ่หลายเมืองที่พร้อมจะเป็นเป้าหมายของการโจมตี อย่างเช่นถ้าโดนคาร์บอมบ์ 3-4 จุด มีคนตายและบาดเจ็บเป็น 1,000 คนแค่นี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทก็แทบจะล้มได้
ฝีมือการยิงขีปนาวุธครั้งนี้เป็นของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่าน ซึ่งประกาศยอมรับและแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแทนในจุดอื่นๆ ที่สหรัฐฯ มีทหารประจำการอยู่หลายประเทศในตะวันออกกลาง
กองกำลังฮิซบอลเลาะห์ และหน่วยรบชีอะห์ในอิรักก็ได้ประกาศพร้อมรบเต็มที่ และจะเล่นงานหน่วยที่ตั้งทางทหารของสหรัฐฯ ในซีเรียและประเทศอื่นๆ ใกล้เคียง นั่นย่อมทำให้ผู้นำทำเนียบขาวต้องเริ่มคิดหน้าคิดหลัง เพราะคำอ้างที่ว่าการสังหารนายพลสุไลมานีไม่ได้ทำให้อเมริกาปลอดภัยมากขึ้น ส่วนคนอเมริกันก็ไม่เชื่อเว้นแต่เป็นพวกที่หลงใหลทรัมป์อย่างมงาย
สหรัฐฯ อยู่ในภาวะลำบากเพราะจะไม่ตอบโต้อิหร่านก็ไม่ได้ ความเป็นชาติมหาอำนาจก็จะเสื่อมและกลุ่มประเทศที่ไม่ชอบขี้หน้าผู้นำทำเนียบขาวก็จะหัวเราะเยาะ
ถ้าเล่นบทโหดตอบโต้อย่างรุนแรงก็จะเป็นเป้าหมายของการถูกรุมประณามโดยประชาคมโลก เพราะทุกวันนี้หลังจากการสังหารนายพลอิหร่านคนดัง ทรัมป์ก็อยู่ในสภาพของ “คนนินทา หมาดูถูก” อยู่แล้ว
อยากรู้เหลือเกินว่าเมื่ออยู่ตัวคนเดียวมองย้อนกลับไป ทรัมป์จอมอหังการ จะคร่ำครวญด้วยความรู้สึกปวดร้าวในหัวอกหรือไม่ว่า “กูไม่น่าเลย”
การไม่ฟังใคร หรือเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปก็ทำให้คนอยู่ในภาวะอย่างนี้แหละ