xs
xsm
sm
md
lg

เขี่ยปชป.และพท.บางส่วนเสียบ : การดิ้นเพื่อความอยู่รอด

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง



สืบเนื่องมาจากการออกเสียงสลับขั้วของ ส.ส. 10 คนจากพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรคคือ พรรคเพื่อไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคอนาคตใหม่ โดยที่ทั้ง 10 คนนี้ได้ออกเสียงไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล คือ ไม่เห็นด้วยกับญัตติที่ขอตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบ จากการใช้มาตรา 44 และ ส.ส. 4 คนจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งออกเสียงสวนทางมติพรรค ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลคือ เห็นด้วยกับการให้ตั้งกรรมาธิการดังกล่าว ทำให้เกิดคลื่นการเมืองลูกใหญ่ตามมา ทั้งในส่วนของฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล กล่าวคือ ในส่วนของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่มีแนวโน้มว่า ส.ส.ที่ออกสวนมติพรรค อาจถูกพรรคมีมติขับออกจากพรรค และถ้าปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริง ส.ส.เหล่านี้คงต้องหาพรรคใหม่อยู่ และพรรคใหม่ที่ว่านี้ คงหนีไม่พ้นพรรคพลังประชารัฐ

ส่วน ส.ส.จากพรรคเศรษฐกิจใหม่ ถ้าฟังจากข่าวที่ปรากฏยังสับสน ด้วยว่าพรรคมี ส.ส. 6 คนและมาประชุมออกเสียงหนุนรัฐบาลถึง 4 คน จึงเท่ากับเสียงข้างมากในพรรค ดังนั้น การที่พรรคจะประชุมขับออกจากพรรคคงทำได้ยาก

สำหรับ ส.ส.คนจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ลงมติเห็นด้วยกับการให้ตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากการใช้มาตรา 44 ซึ่งสวนทางกับรัฐบาลนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะมีการขับออกจากพรรค ในทำนองเดียวกับทางพรรคฝ่ายค้านหรือไม่

แต่ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน เชื่อว่าผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์คงไม่คิดสั้น โดยการประชุมพรรค และมีมติขับทั้ง 4 คนออกจากพรรคเพราะกระทำเช่นนี้เท่ากับการฆ่าตัวตายทางการเมือง ด้วยเหตุเพียงเพื่อเอาใจพรรคแกนนำรัฐบาล ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ก่อนการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ปราศรัยหาเสียงด้วยการประกาศชัดเจนว่า จะไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ด้วยเหตุผลเพื่อมิให้เผด็จการสืบทอดอำนาจ และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งหมดโอกาสที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ประกอบกับ ส.ส.ส่วนหนึ่งของพรรคต้องการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุอ้างว่าเพื่อสร้างผลงานในการบริหารประเทศ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แสดงจุดยืนทางการเมืองด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรค พร้อมกับลาออกจาก ส.ส.จึงเท่ากับประกาศชัดเจนไม่ร่วมรัฐบาล ซึ่งมีผู้นำเคยดำรงตำแหน่งผู้นำในระบอบเผด็จการ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของพรรคตลอดมา

2. ในขณะนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ กำลังเผชิญปัญหาวิกฤตศรัทธาจากประชาชน ทั้งในส่วนของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคม

ดังนั้น ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องลงโทษ ส.ส. 4 คนซึ่งออกเสียงสวนมติพรรค เพื่ออนุรักษ์อุดมการณ์ของพรรค ก็เท่ากับฆ่าลูกของตนเองซึ่งยึดแนวทางที่บรรพชนของพรรคได้วางไว้ และมีการยึดถือสืบทอดกันมาตลอดเพื่อสนองความอยากมี อยากเป็นของคนในพรรค

ดังนั้น ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เขียนเชื่อว่าคงจะไม่ดำเนินการใดๆ อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีการปล่อยข่าวในทำนองข่มขู่ว่าจะเขี่ยพรรคประชาธิปัตย์ทิ้ง และนำ ส.ส.บางส่วนจากพรรคเพื่อไทยเข้ามาเสียบแทน โดยมีโควตารัฐมนตรีเป็นเหยื่อล่อก็ตาม และที่ผู้เขียนเชื่อเช่นนี้ ก็ด้วยอาศัยเหตุผลในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. ถ้ามีการปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกไปจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และนำฝ่ายค้านบางส่วนเข้ามา ก็เท่ากับนำผู้ที่เคยเป็นศัตรูทางการเมืองเข้ามาอยู่ข้างตัว และผลักผู้ที่เคยเป็นมิตรทางการเมืองออกไปอยู่กับศัตรู ก็จะทำให้ศัตรูเข้มแข็งขึ้น เพราะถ้าเปรียบเทียบศักยภาพทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์กับบางส่วนของพรรคเพื่อไทย หรือจากพรรคอื่นใดที่ยอมทิ้งบ้านของตน และมาอาศัยของคนอื่นแล้วพรรคประชาธิปัตย์เหนือกว่า โดยเฉพาะในการเป็นฝ่ายค้าน

2. ในขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ เปรียบได้กับเรือที่มีรอยรั่วน้ำกำลังเข้าเรือ ทั้งนี้อนุมานได้จากกรณีของการถือครองที่ดินของ ส.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ และอาจมีกรณีเดียวกันนี้กับ ส.ส.บางคนในฝ่ายรัฐบาลเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

ด้วยเหตุปัจจัย 2 ประการนี้ ถ้าผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยึดติดตำแหน่ง และเห็นแก่ประโยชน์อันเกิดจากตำแหน่งมากเกินไป ก็คงจะมองเห็นอนาคตทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ ว่าจะก้าวไปได้นานเพียงใด และมีจุดจบอย่างไร และถ้าบังเอิญเกิดวิกฤตทางการเมืองจนทำให้รัฐบาลชุดนี้มีอันต้องออกไป การเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นต่อจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะเรียกคืนศรัทธาให้กลับมาเช่นเดิมได้หรือไม่ และด้วยวิธีใด เพราะจะต้องไม่ลืมว่า อุดมการณ์ข้อที่ว่าต่อต้านเผด็จการได้ถูกทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตัดสินใจเข้าร่วมกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น