จากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร จำนวน 2 คดี คดีแรกเป็นคดีอาญา กรณีทุจริตการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ของกรมสรรพากร ทำให้ราชการเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท อีกคดีคือ กรณีร่ำรวยผิดปกติ กว่า 700 ล้านบาท โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งสำนวนพร้อมรายงานความเห็น แก่อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อส่งฟ้องศาล โดยในส่วนของคดีอาญา ฝ่ายอัยการได้ยื่นฟ้องนายสาธิต ต่อศาลคดีทุจริตฯแล้ว
ส่วนคดีร่ำรวยผิดปกติ อสส.ได้ยื่นฟ้องต่อศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.62 ศาลคดีทุจริตฯ พิพากษาให้ทรัพย์สินของ นายสาธิต รังคสิริ จำเลย ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ยกคำร้องในส่วนของทองคำแท่ง จำนวน 318 กก. มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ
ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนผู้ขายทองคำแท่งดังกล่าว ปฏิเสธว่า ทองคำแท่งเหล่านั้นมิใช่ของบริษัทแล้ว เพราะมีการชำระเงินค่าทองคำแท่งครบถ้วนในนามของนายสาธิต จึงทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้บริษัทเอกชนดังกล่าว มอบทองคำแท่งข้างต้นแก่คณะกรรมการป.ป.ช. นำไปเก็บรักษาไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อรอตรวจสอบภายหลัง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้ รายงานว่า ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงาน ป.ป.ช. ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติให้อุทธรณ์ผลคดีดังกล่าว เนื่องจากตามทางไต่สวน เงินที่ใช้ในการซื้อทองคำแท่ง มูลค่า 600 ล้านบาทดังกล่าว เป็นกระแสเงินที่ไหลมาจากคดีทุจริตการคืนภาษีของกรมสรรพากร คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงส่งหนังสือแจ้งไปยังอสส. เพื่อให้พิจารณาอุทธรณ์คดีดังกล่าวแล้ว
แหล่งข่าว ระบุอีกว่า คดีนี้ศาลคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 ก.ย.62 โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ระบุให้การยื่นอุทธรณ์นั้น ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้น เมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้อสส. อุทธรณ์ไปแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับแจ้งว่ามีการอุทธรณ์คดีดังกล่าวแล้วหรือไม่ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในสำนักงานป.ป.ช. ว่า หากอสส. ยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าวไม่ทัน อาจส่งผลกระทบต่อคดีอาญา คือ คดีทุจริตการคืนภาษี 4 พันล้านบาทได้ เนื่องจากตามทางไต่สวนของ ป.ป.ช. พบว่าเงินจากการทุจริตคดีคืนภาษีไหลมาสู่นายสาธิต และนำเงินไปซื้อทองคำแท่งดังกล่าว
ส่วนคดีร่ำรวยผิดปกติ อสส.ได้ยื่นฟ้องต่อศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.62 ศาลคดีทุจริตฯ พิพากษาให้ทรัพย์สินของ นายสาธิต รังคสิริ จำเลย ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ยกคำร้องในส่วนของทองคำแท่ง จำนวน 318 กก. มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ
ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนผู้ขายทองคำแท่งดังกล่าว ปฏิเสธว่า ทองคำแท่งเหล่านั้นมิใช่ของบริษัทแล้ว เพราะมีการชำระเงินค่าทองคำแท่งครบถ้วนในนามของนายสาธิต จึงทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้บริษัทเอกชนดังกล่าว มอบทองคำแท่งข้างต้นแก่คณะกรรมการป.ป.ช. นำไปเก็บรักษาไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อรอตรวจสอบภายหลัง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้ รายงานว่า ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงาน ป.ป.ช. ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติให้อุทธรณ์ผลคดีดังกล่าว เนื่องจากตามทางไต่สวน เงินที่ใช้ในการซื้อทองคำแท่ง มูลค่า 600 ล้านบาทดังกล่าว เป็นกระแสเงินที่ไหลมาจากคดีทุจริตการคืนภาษีของกรมสรรพากร คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงส่งหนังสือแจ้งไปยังอสส. เพื่อให้พิจารณาอุทธรณ์คดีดังกล่าวแล้ว
แหล่งข่าว ระบุอีกว่า คดีนี้ศาลคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 ก.ย.62 โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ระบุให้การยื่นอุทธรณ์นั้น ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้น เมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนด 1 เดือน โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้อสส. อุทธรณ์ไปแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับแจ้งว่ามีการอุทธรณ์คดีดังกล่าวแล้วหรือไม่ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายในสำนักงานป.ป.ช. ว่า หากอสส. ยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าวไม่ทัน อาจส่งผลกระทบต่อคดีอาญา คือ คดีทุจริตการคืนภาษี 4 พันล้านบาทได้ เนื่องจากตามทางไต่สวนของ ป.ป.ช. พบว่าเงินจากการทุจริตคดีคืนภาษีไหลมาสู่นายสาธิต และนำเงินไปซื้อทองคำแท่งดังกล่าว
