ศาลแพ่งยกฟ้องคดี “พัชรวาท” ฟ้อง “เอเอสทีวีผู้จัดการ” เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาท กรณีลงข่าวนายตำรวจใหญ่ขัดขวางการทำคดีลอบยิง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ปี 52 พร้อมพฤติกรรมส่อร่ำรวยผิดปกติของอดีต ผบ.ตร. เหตุคดีอาญาถึงที่สุด โดยศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง
วันนี้ (7 มี.ค.) มีคำพิพากษาศาลแพ่งคดีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ผู้จัดการจัดจำหน่าย จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ตามลำดับ ในความผิดฐานละเมิด (หมิ่นประมาท) เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท กรณีที่ หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน นำเสนอข่าวนายตำรวจใหญ่ขัดขวางการทำคดีลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ของ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมทั้งรายงานข่าวพฤติกรรมที่ส่อว่าเป็นการร่ำรวยผิดปรกติของ พล.ต.อ.พัชรวาท เมื่อปี 2552
ศาลมีคำพิพากษา สรุปว่า ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีฯ เป็นการกล่าวไขข่าวแพร่หลายและมีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ สำหรับการไขข่าวลงในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน ตามฟ้อง 24 ฉบับ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความพร้อมกับอ้างส่งสำเนาคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนและชั้นพิจารณา คดีหมายเลขดำที่ อ.2660/52, คดีหมายเลขดำที่ อ.2994/2552, คดีหมายเลขดำที่ อ.3490/2552 ของศาลอาญา เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คู่ความยอมรับว่า โจทก์ได้นำข้อความทำนองเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 หาว่าดูหมิ่นและใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2660/52, คดีหมายเลขดำที่ อ.2994/2552, คดีหมายเลขดำที่ อ.3490/2552 โดยจำเลยทั้งสี่แถลงส่งคำพิพากษาในส่วนคดีอาญาต่อศาล ตามคำแถลงขอนำส่งคำพิพากษาของศาล ฉบับวันที่ 13 มีนาคม 2560 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยสรุปความว่า โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นยินยอม ร่วมดำเนินการให้ลงพิมพ์ข้อความตามฟ้อง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด และสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 คดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดในชั้นอุทธรณ์ เช่นนี้คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวนอกจากจะผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีแล้ว ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องถึงที่สุด โดยต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาที่ยุติแล้วว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวด้วยข้อความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการทั้งหมดตามฟ้องโจทก์ มีลักษณะเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายและหมิ่นประมาทโจทก์ โดยโจทก์ไม่อาจนำสืบโต้เถียงข้อเท็จจริงให้รับฟังเป็นอย่างอื่นได้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
สำหรับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แม้จะไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาทั้งสามคดีก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาของศาลอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ การพิพากษาคดีส่วนแพ่งในคดีนี้ ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก็ตาม แต่จากทางนำสืบของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้จำเลยที่ 3 จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 เป็นผู้จัดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเท่านั้น โดยที่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมกระทำการไขข่าวหรือรู้ว่าข้อความที่ตีพิมพ์เป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ที่ทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร เช่นนี้จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และคดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายกฟ้อง