"อนุทิน" ลุยตรวจ "สุวรรณภูมิ" รับมือ "Chinese Virus"ตั้งจุดคัดกรองวัดไข้ ด้วยระบบอินฟราเรด และเจ้าหน้าที่ 24 ชม. พร้อมสั่งแยกช่องทางขาเข้า ผู้โดยสารจากจีนบินตรงเข้าไทย 4 สนามบิน วอนอย่าตระหนก เพราะยังไม่มีพบผู้ป่วยเข้าประเทศ มั่นใจสามารถรับมือได้ หลังมีประสบการณ์ในการรับมือโรคซาร์ส และ เมอร์ มาแล้ว เตรียมเปิดคลินิกกัญชาวันนี้ ระดม "แพทย์แผนไทย-หมอพื้นบ้าน-แพทย์แผนปัจจุบัน" บริการชาวบ้านฟรี นำผลศึกษาหนุนปลดล็อกแก้ กม.เพื่อการแพทย์
วานนี้ (5 ม.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว. สาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดสธ. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) และคณะ ตรวจเยี่ยมความพร้อม ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และขั้นตอนการดำเนินงานคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง หลังมีรายงานพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยมอบให้คร.เฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง ทั้งด่านบก ด่านเรือ และด่านอากาศ หากพบผู้มีอาการเข้าข่ายสงสัย ให้ส่งเข้าระบบควบคุมป้องกันโรคทันที
นายอนุทิน กล่าวว่าที่ด่านควบคุมโรค ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ติดตั้งเครื่องวัดไข้อัตโนมัติ ระบบอินฟราเรด 4 จุด พร้อมเจ้าหน้าที่ทำงาน 24 ชม. ผู้โดยสารทุกคน จะต้องผ่านการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องตรวจอุณหภูมิอัตโนมัติ หากพบมีไข้ จะแยกผู้โดยสารตรงประตูทางเข้า ให้สวมหน้ากากอนามัย และพาไปตรวจซ้ำ ที่ห้องรอส่งต่อ หากพบว่ามีไข้ และมีประวัติมาจากพื้นที่เสี่ยง จะโทร.แจ้งกรมควบคุมโรค ให้ส่งรถพยาบาลมารับไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องแยกโรคมาตรฐาน ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนปกติที่สนามบินดำเนินการ โดยจะไม่ปะปนกับผู้โดยสารอื่น โดยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีเที่ยวบินจากพื้นที่เสี่ยง วันละ 3 เที่ยว ผู้โดยสารวันละประมาณ 500 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังได้มีการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ โดยสาร ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ตอีกด้วย ซึ่งมีสายการบินตรงมาจากอู่ฮั่น
"ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ควบคุมโรคที่ประสิทธิภาพ หากมีรายงานผู้ป่วยที่สงสัย จะทำการแยกกัก โดยมีการเตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ และทีมสอบสวนโรคติดต่ออันตรายทั้งในส่วนกลางและทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ที่จีนเกิดจากไวรัส คาดว่ามาจากการสัมผัสจากสัตว์ ยังไม่มาถึงเมืองไทย ถ้ามาถึงเราก็สกัดได้แน่นอน ท่าอากาศยานทั้งหมดที่มีสายการบินตรงมาจากเมืองที่เฝ้าระวังจะทำการแยกเกต และคัดกรอง 100% หากมีผู้ป่วยก็รักษาได้ เรามีประสบการณ์ทั้งการรับมือโรคซาร์ส โรคเมอร์ส ไข้หวัดนก ต่อให้หลุดออกไปก็หาจนเจอ" นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ นายอนุทิน ยืนยันว่ายังไม่พบผู้ติดเชื้อเข้ามา ส่วนกรณีระยะฟักตัวอาจยังไม่แสดงอาการนั้น เรามีการให้ข้อมูลคนเดินทางเข้ามา หากเกิดอาการเจ็บป่วยให้สันนิษฐานว่าเกิดจาก Chinese Virus ก็ให้ไปรักษา ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ก็ส่งหนังสือแจ้งไปยังรพ.เอกชนแล้ว คนมาจากอู่ฮั่น จะได้บัตรที่มีคิวอาร์โคด สามารถสแกนเพื่อดูวิธีปฏิบัติตัวได้ หากเกิดอาการไข้ หรือผิดปกติ ส่วนขณะนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นโรคซาร์ส หรือไม่ เพราะต้นทางยังไม่ได้แจ้งมา แต่เป็นเชื้อไวรัส เราก็มียาที่ระงับอาการได้ระดับหนึ่ง หากประชาชนจะเดินทางไปยังประเทศที่มีรายงานผู้ติดเชื้อปอดอักเสบ องค์การอนามัยโลกยังไม่มีประกาศห้ามการเดินทาง
"หมอหนู"เปิดคลินิกกัญชาวันนี้
นายอนุทิน ยังกล่าวถึง การเปิดคลีนิคกัญชา ในวันนี้ (6ม.ค.) ว่า กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี จะเปิดให้รักษาฟรี เรามีความพร้อมในการดำเนินงานแล้ว หวังว่าจะรักษาคนไข้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาจากที่ใช้สารสกัดกัญชารักษาโรคพบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วนคลีนิคกัญชาที่กำลังจะเปิดจะต้องเก็บผลการรักษาเอาไว้ เชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นบวก เมื่อได้เอกสารมาแล้ว จะต้องนำไปใช้เป็นข้อมูล สนับสนุนการแก้กฎหมาย เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการใช้กัญชาในการรักษาโรค และอาการเจ็บป่วยได้มากที่สุด
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าว ว่า กรมการแพทย์แผนไทย จะดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ ในระหว่าง วันที่ 6-17 ม.ค.63 นี้ โดยในช่วงวันเวลาดังกล่าว จะให้บริการฟรี โดยมีทั้งการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนปัจจุบัน มาผสมผสานในการรักษาเป็นครั้งแรก
"ในขณะนี้การปลูกกัญชาได้ดำเนินการโดยการแสวงหาความร่วมมือกัน ไม่มีการซื้อขาย ต่อไปถ้าทำมากกว่านี้ จะมีการซื้อขายจากองค์กรภาคเอกชน องค์กรภาคประชาชน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน ซึ่งจะทำให้กรมการแพทย์แผนไทย สามารถผลิตยาที่มีส่วนผสมกัญชาได้ครบ 16 ตำรับที่ประกาศเป็นยาไปแล้ว และขยายในโรงพยาบาลได้มากขึ้น ขณะนี้เราผลิตได้แพร่หลาย 2 ตำรับ นำมาผลิตใช้ได้จริง 4 ตำรับ กำลังจะเพิ่มเป็น 6 ตำรับ ในเดือนม.ค.นี้ ส่วนอีกตำรับ เป็นของหมอพื้นบ้าน คือตำรับอาจารย์เดชา (ศิริภัทร) ถ้าทดลองแล้วได้ผลจริง ก็จะมีการรายงานให้กับคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษแห่งชาติ แล้วได้รับการอนุมัติ จะสามารถนำมาใช้ได้มากกว่า 20 โรงพยาบาลในขณะนี้"
ในส่วนของข้อกฎหมาย ที่กำหนดให้การจ่ายยา 16 ตำรับ ที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมให้เฉพาะแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์ ส่วนแพทย์แผนปัจจุบัน สั่งจ่ายไม่ได้นั้น อธิบดีกรมการแพทย์ฯ ยอมรับว่า ตามกฎหมายและระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ให้เฉพาะแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์เท่านั้นที่เป็นผู้สั่งจ่ายยาดังกล่าวได้ ส่วนถ้าจะให้แพทย์แผนปัจจุบันสั่งจ่ายนั้น จะต้องให้คณะกรรมการยาเสพติดให้โทษแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม เช่นเดียวกับน้ำมันกัญชา สูตรอ.เดชา ที่ให้มาเป็นของชาติ เมื่อวิจัยพบว่ามีผลดี คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ จะเป็นผู้พิจารณาว่ามีใครจะสั่งใช้ได้บ้าง
น.พ.มรุต ยังกล่าวถึง ปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจของหมอแผนไทย และหมอแผนไทยประยุกต์ว่า ในอดีตที่ผ่านมา ค่อนข้างขาดความมั่นใจ แต่ในปัจจุบันหลังจากนำน้ำมันกัญชา สูตรอ.เดชา (ศิริภัทร) ที่มีการรักษาไปแล้ว 3 พันกว่าราย ผลการรักษาดีมาก ผลข้างเคียงไม่มีเลย เราต้องการสร้างความมั่นใจกับแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์ เป็นผู้ที่ตรวจรักษาคนไข้โดยตรง หากเราขยายได้ชัดเจนโดยเฉพาะในมหกรรมของเรา ในการเปิด คลินิกกัญชา วันที่ 6-17 ม.ค.นี้ วันละประมาณ 300 ราย ก็จะสร้างความเชื่อมั่นในน้ำมันสูตรของอ.เดชา ได้มากขึ้น
“อ.เดชา”ชมนโยบายกัญชามาไกลเกินคาด
ด้านนายเดชา ศิริภัทร ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ ผู้เชี่ยวชาญการใช้กัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า ตนได้ติดตามนโยบายนี้อย่างใกล้ชิด โดยรวม ถือว่าน่าพอใจ แนวทางถูกต้อง แต่ยังมีบางเรื่องที่ติดขัดอยู่บ้าง กฎหมายยังเป็นอุปสรรคต่อการใช้กัญชา ส่วนตัวนำสูตรยาของตน มอบให้กับสธ. ไว้ปรุงยา และผลิตแจกจ่ายแล้ว พยายามทำให้ถูกต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่การเข้าถึงยาที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ยังไม่เปิดกว้าง ด้วยมีข้อจำกัดในเรื่องของกฎหมาย ทั้งที่สธ. ตั้งใจทำงาน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นด้วย ทั้งนี้ตนเลือกเดินในระบบ หากพบปัญหา คงต้องหาแนวทางแก้ไขกันต่อไป เพราะมีคนป่วยอีกมาก รวมถึงต้องดูว่าแพทย์เองคิดอย่างไรกับกัญชา สังคมมองอย่างไร แม้กระทั่งคนป่วยยังขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้
"การเดินหน้าของประเทศมาได้ไกลมากแล้ว แซงหน้าหลายชาติ อยากให้คิดว่า เราสนใจเรื่องการใช้กัญชาเพื่อรักษาคน ก็ตอนต้นปี 62 และมาเอาจริงเอาจังกันหลังเลือกตั้ง ยังไม่ทันจะครบปี ทำได้เท่านี้ ก็มาไกลเกินคาด ทั้งที่เริ่มต้นทีหลัง แต่ไม่ใช่ว่าพอใจแล้วหยุด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องช่วยกันผลักดัน แม้จะผ่านรุ่นเราไปแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อ" นายเดชา กล่าว
วานนี้ (5 ม.ค.) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว. สาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดสธ. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) และคณะ ตรวจเยี่ยมความพร้อม ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ และขั้นตอนการดำเนินงานคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง หลังมีรายงานพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยมอบให้คร.เฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง ทั้งด่านบก ด่านเรือ และด่านอากาศ หากพบผู้มีอาการเข้าข่ายสงสัย ให้ส่งเข้าระบบควบคุมป้องกันโรคทันที
นายอนุทิน กล่าวว่าที่ด่านควบคุมโรค ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ติดตั้งเครื่องวัดไข้อัตโนมัติ ระบบอินฟราเรด 4 จุด พร้อมเจ้าหน้าที่ทำงาน 24 ชม. ผู้โดยสารทุกคน จะต้องผ่านการตรวจคัดกรองด้วยเครื่องตรวจอุณหภูมิอัตโนมัติ หากพบมีไข้ จะแยกผู้โดยสารตรงประตูทางเข้า ให้สวมหน้ากากอนามัย และพาไปตรวจซ้ำ ที่ห้องรอส่งต่อ หากพบว่ามีไข้ และมีประวัติมาจากพื้นที่เสี่ยง จะโทร.แจ้งกรมควบคุมโรค ให้ส่งรถพยาบาลมารับไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องแยกโรคมาตรฐาน ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนปกติที่สนามบินดำเนินการ โดยจะไม่ปะปนกับผู้โดยสารอื่น โดยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีเที่ยวบินจากพื้นที่เสี่ยง วันละ 3 เที่ยว ผู้โดยสารวันละประมาณ 500 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังได้มีการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ โดยสาร ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ตอีกด้วย ซึ่งมีสายการบินตรงมาจากอู่ฮั่น
"ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ควบคุมโรคที่ประสิทธิภาพ หากมีรายงานผู้ป่วยที่สงสัย จะทำการแยกกัก โดยมีการเตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ และทีมสอบสวนโรคติดต่ออันตรายทั้งในส่วนกลางและทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ที่จีนเกิดจากไวรัส คาดว่ามาจากการสัมผัสจากสัตว์ ยังไม่มาถึงเมืองไทย ถ้ามาถึงเราก็สกัดได้แน่นอน ท่าอากาศยานทั้งหมดที่มีสายการบินตรงมาจากเมืองที่เฝ้าระวังจะทำการแยกเกต และคัดกรอง 100% หากมีผู้ป่วยก็รักษาได้ เรามีประสบการณ์ทั้งการรับมือโรคซาร์ส โรคเมอร์ส ไข้หวัดนก ต่อให้หลุดออกไปก็หาจนเจอ" นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ นายอนุทิน ยืนยันว่ายังไม่พบผู้ติดเชื้อเข้ามา ส่วนกรณีระยะฟักตัวอาจยังไม่แสดงอาการนั้น เรามีการให้ข้อมูลคนเดินทางเข้ามา หากเกิดอาการเจ็บป่วยให้สันนิษฐานว่าเกิดจาก Chinese Virus ก็ให้ไปรักษา ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ก็ส่งหนังสือแจ้งไปยังรพ.เอกชนแล้ว คนมาจากอู่ฮั่น จะได้บัตรที่มีคิวอาร์โคด สามารถสแกนเพื่อดูวิธีปฏิบัติตัวได้ หากเกิดอาการไข้ หรือผิดปกติ ส่วนขณะนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นโรคซาร์ส หรือไม่ เพราะต้นทางยังไม่ได้แจ้งมา แต่เป็นเชื้อไวรัส เราก็มียาที่ระงับอาการได้ระดับหนึ่ง หากประชาชนจะเดินทางไปยังประเทศที่มีรายงานผู้ติดเชื้อปอดอักเสบ องค์การอนามัยโลกยังไม่มีประกาศห้ามการเดินทาง
"หมอหนู"เปิดคลินิกกัญชาวันนี้
นายอนุทิน ยังกล่าวถึง การเปิดคลีนิคกัญชา ในวันนี้ (6ม.ค.) ว่า กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี จะเปิดให้รักษาฟรี เรามีความพร้อมในการดำเนินงานแล้ว หวังว่าจะรักษาคนไข้ได้มากที่สุด ที่ผ่านมาจากที่ใช้สารสกัดกัญชารักษาโรคพบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ส่วนคลีนิคกัญชาที่กำลังจะเปิดจะต้องเก็บผลการรักษาเอาไว้ เชื่อว่าผลที่ออกมาจะเป็นบวก เมื่อได้เอกสารมาแล้ว จะต้องนำไปใช้เป็นข้อมูล สนับสนุนการแก้กฎหมาย เพื่อให้คนไทยเข้าถึงการใช้กัญชาในการรักษาโรค และอาการเจ็บป่วยได้มากที่สุด
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าว ว่า กรมการแพทย์แผนไทย จะดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ ในระหว่าง วันที่ 6-17 ม.ค.63 นี้ โดยในช่วงวันเวลาดังกล่าว จะให้บริการฟรี โดยมีทั้งการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนปัจจุบัน มาผสมผสานในการรักษาเป็นครั้งแรก
"ในขณะนี้การปลูกกัญชาได้ดำเนินการโดยการแสวงหาความร่วมมือกัน ไม่มีการซื้อขาย ต่อไปถ้าทำมากกว่านี้ จะมีการซื้อขายจากองค์กรภาคเอกชน องค์กรภาคประชาชน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชน ซึ่งจะทำให้กรมการแพทย์แผนไทย สามารถผลิตยาที่มีส่วนผสมกัญชาได้ครบ 16 ตำรับที่ประกาศเป็นยาไปแล้ว และขยายในโรงพยาบาลได้มากขึ้น ขณะนี้เราผลิตได้แพร่หลาย 2 ตำรับ นำมาผลิตใช้ได้จริง 4 ตำรับ กำลังจะเพิ่มเป็น 6 ตำรับ ในเดือนม.ค.นี้ ส่วนอีกตำรับ เป็นของหมอพื้นบ้าน คือตำรับอาจารย์เดชา (ศิริภัทร) ถ้าทดลองแล้วได้ผลจริง ก็จะมีการรายงานให้กับคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษแห่งชาติ แล้วได้รับการอนุมัติ จะสามารถนำมาใช้ได้มากกว่า 20 โรงพยาบาลในขณะนี้"
ในส่วนของข้อกฎหมาย ที่กำหนดให้การจ่ายยา 16 ตำรับ ที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมให้เฉพาะแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์ ส่วนแพทย์แผนปัจจุบัน สั่งจ่ายไม่ได้นั้น อธิบดีกรมการแพทย์ฯ ยอมรับว่า ตามกฎหมายและระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ให้เฉพาะแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์เท่านั้นที่เป็นผู้สั่งจ่ายยาดังกล่าวได้ ส่วนถ้าจะให้แพทย์แผนปัจจุบันสั่งจ่ายนั้น จะต้องให้คณะกรรมการยาเสพติดให้โทษแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม เช่นเดียวกับน้ำมันกัญชา สูตรอ.เดชา ที่ให้มาเป็นของชาติ เมื่อวิจัยพบว่ามีผลดี คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ จะเป็นผู้พิจารณาว่ามีใครจะสั่งใช้ได้บ้าง
น.พ.มรุต ยังกล่าวถึง ปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจของหมอแผนไทย และหมอแผนไทยประยุกต์ว่า ในอดีตที่ผ่านมา ค่อนข้างขาดความมั่นใจ แต่ในปัจจุบันหลังจากนำน้ำมันกัญชา สูตรอ.เดชา (ศิริภัทร) ที่มีการรักษาไปแล้ว 3 พันกว่าราย ผลการรักษาดีมาก ผลข้างเคียงไม่มีเลย เราต้องการสร้างความมั่นใจกับแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์ เป็นผู้ที่ตรวจรักษาคนไข้โดยตรง หากเราขยายได้ชัดเจนโดยเฉพาะในมหกรรมของเรา ในการเปิด คลินิกกัญชา วันที่ 6-17 ม.ค.นี้ วันละประมาณ 300 ราย ก็จะสร้างความเชื่อมั่นในน้ำมันสูตรของอ.เดชา ได้มากขึ้น
“อ.เดชา”ชมนโยบายกัญชามาไกลเกินคาด
ด้านนายเดชา ศิริภัทร ผอ.มูลนิธิข้าวขวัญ ผู้เชี่ยวชาญการใช้กัญชาทางการแพทย์ กล่าวว่า ตนได้ติดตามนโยบายนี้อย่างใกล้ชิด โดยรวม ถือว่าน่าพอใจ แนวทางถูกต้อง แต่ยังมีบางเรื่องที่ติดขัดอยู่บ้าง กฎหมายยังเป็นอุปสรรคต่อการใช้กัญชา ส่วนตัวนำสูตรยาของตน มอบให้กับสธ. ไว้ปรุงยา และผลิตแจกจ่ายแล้ว พยายามทำให้ถูกต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่การเข้าถึงยาที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ยังไม่เปิดกว้าง ด้วยมีข้อจำกัดในเรื่องของกฎหมาย ทั้งที่สธ. ตั้งใจทำงาน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นด้วย ทั้งนี้ตนเลือกเดินในระบบ หากพบปัญหา คงต้องหาแนวทางแก้ไขกันต่อไป เพราะมีคนป่วยอีกมาก รวมถึงต้องดูว่าแพทย์เองคิดอย่างไรกับกัญชา สังคมมองอย่างไร แม้กระทั่งคนป่วยยังขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้
"การเดินหน้าของประเทศมาได้ไกลมากแล้ว แซงหน้าหลายชาติ อยากให้คิดว่า เราสนใจเรื่องการใช้กัญชาเพื่อรักษาคน ก็ตอนต้นปี 62 และมาเอาจริงเอาจังกันหลังเลือกตั้ง ยังไม่ทันจะครบปี ทำได้เท่านี้ ก็มาไกลเกินคาด ทั้งที่เริ่มต้นทีหลัง แต่ไม่ใช่ว่าพอใจแล้วหยุด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องช่วยกันผลักดัน แม้จะผ่านรุ่นเราไปแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อ" นายเดชา กล่าว