ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พิสูจน์ฉายา“ขนมจีนไร้น้ำยา”ฝ่ายค้านตีปี๊บศึกซักฟอก ชูปมพ่อ“บิ๊กตู่”ขายที่ดิน กูรูการเมืองฟันธง มุกแป้ก
เข้าสู่ศักราชใหม่ปี “หนูไฟ”ได้ไม่กี่วัน ฝ่ายค้านก็เริ่มตีปี๊บศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทย "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รับมอบหมายจากนายใหญ่ นั่งหัวโต๊ะแถลงข่าวในฐานะประธาน “คณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย”เป็นกุนซือใหญ่ใน ศึกอภิปรายครั้งนี้โดยเฉพาะ ประกาศล็อกเป้า รัฐมนตรี 5 คน ที่จะต้องขึ้นเขียงให้ฝ่ายค้านชำแหละ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังตรุษจีนปีนี้
เจ้าของฉายา“เป็ดเหลิม”คุยโอ่ว่าพรรคเพื่อไทย ขณะนี้พร้อมออกศึก 100% พยานหลักฐานก็พร้อม โดยวางตัวส.ส.ที่จะอภิปรายไว้ 25 คน แต่ขอยังไม่เปิดเผยชื่อเพราะกลัวไม่ปลอดภัย พร้อมเหน็บแนมว่า รัฐบาลปากกล้าขาสั่น วันนี้ไม่มีใครกลัวใคร ประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว ส่วนจะมีชื่อ "วัน อยู่บำรุง" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ร่วมอภิปรายด้วยหรือไม่นั้น “พ่อเหลิม”บอกว่า เป็นสิทธิของ“ลูกวัน” แต่ในใจตนเองนั้น มองว่า พรรษายังไม่ถึง ยังมีเวลา ตอบแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ากลับไปถึงบ้าน จะโดนลูกชายงอนเอาหรือเปล่า
ส่วนประเด็นการอภิปรายนั้น “เป็ดเหลิม”ขอยังไม่บอก อ้างว่าต้องหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อน แต่มั่นใจว่า หลังจากอภิปรายจะทำให้กระแสเบื่อนายกฯ เพิ่มขึ้น คนชิงชังรัฐบาลมากขึ้น แต่ก็คงไม่ถึงขั้นล้มรัฐบาล เพราะไม่เคยมีสมัยไหนที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลโหวตล้มกันเอง ถึงแม้ประธาน“คณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย”ยังอุบไต๋ ประเด็นอภิปรายรัฐบาล แต่ก็ยอมรับกลายๆว่า จะมีปมการขายที่ดินย่านบางบอน ของ "พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา" บิดาของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ให้แก่บริษัทในเครือของเจ้าสัวธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งฝ่ายค้านอ้างว่า มีข้อผิดสังเกตคือ มีการตั้งบริษัทดังกล่าว ขึ้นมาเพียงแค่ 7 วัน และมีการซื้อที่ดินมีมูลค่าสูงกว่าราคาประเมิน 600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการนำที่ดินผืนดังกล่าวไปพัฒนา พร้อมกับเชื่อมโยงไปไกลถึงเรื่องการแก้ไขสัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทในเครือของเจ้าสัวคนดังกล่าว ซึ่งฝ่ายค้านมั่นอกมั่นใจว่า เรื่องนี้จะทำให้ขาเก้าอี้นายกฯ ของ“ลุงตู่”สั่นคลอนได้
แต่...ถ้าใครยังไม่ลืม ประเด็นนี้ สื่อฯ เคยรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.56 บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทในเครือของเจ้าสัว “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ประธานคณะกรรมการบริหารของไทยเบฟเวอเรจ ได้ซื้อที่ดินในย่านบางบอน ซอย 3 แขวงบางบอน กรุงเทพฯ จำนวน 9 แปลง เนื้อที่ 50-3-08 ไร่ จากบิดาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในราคา 600 ล้านบาท ซึ่งแม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการซื้อในราคาที่สูงเกินจริง หรือไม่ เพราะเป็นราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน แต่“ดร.โสภณ พรโชคชัย”ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เคยแถลงยืนยันว่า ราคาที่ซื้อขายนี้ สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยถ้าซื้อในราคา 600 ล้านบาท
คิดเฉลี่ยแล้วก็ตกไร่ละ 11.818 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับราคาตลาด โดยเฉพาะที่ดินติดถนนบางบอน 3 ขณะนั้นมีราคาเบื้องต้นไร่ละ 15-18 ล้านบาท
...ถ้าอยากรู้ให้มากขึ้นว่า "โสภณ พรโชคชัย" เป็นใคร ลองเสิร์ชกูเกิล ดู เขาไม่ใช่ “ติ่งลุงตู่”อย่างแน่นอน
ขณะที่ “ไพศาล พืชมงคล”อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งปัจจุบันออกมาเป็นนักวิเคราะห์การเมืองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ได้ให้ความเห็นแบบ "ฟันธง" ไปเลยทันทีว่า ปมการขายที่ดินของพ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา นั้นล้ม“ลุงตู่”ไม่ได้แน่นอน ด้วยเหตุที่ 1. เป็นที่ดินของบิดาไม่ใช่ของลุงตู่ และลุงตู่ไม่ใช่ผู้ขาย 2. เป็นการซื้อขายในปี 56 ก่อนลุงยึดอำนาจ ยังไม่เป็นนายกฯ ไม่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน 3. ราคาที่ดินที่ขายย่อมสูงกว่าราคาประเมินเป็นปกติอยู่แล้ว 4. ราคาซื้อขายเท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับการตกลง 5. บริษัทคุณเจริญ ซื้อที่ดินแล้วจะพัฒนาเมื่อใด จะมีรายได้อย่างไร เป็นวิธีการลงทุนของคุณเจริญ ไม่เกี่ยวกับลุงแก 6. ตอนซื้อขายไม่มีใครรู้ว่าลุงแกจะเป็นนายกฯ เพราะตอนนั้นคุณยิ่งลักษณ์ มีอำนาจมาก
"ผมไม่ชอบใจเรื่องกัญชา แต่เรื่องนี้ก็ด่าลุงแกไม่ได้" ไพศาล พืชมงคล กล่าวทิ้งท้าย ซึ่งหลายคนคงเห็นด้วย นั่นเพราะ 5 เดือนของรัฐบาลลุงตู่ ก็ยังมีการบริหารงานที่ขาดตกบกพร่อง เรื่องอื่นๆ ที่ควรเอามาเป็นประเด็นอภิปรายมากกว่า อย่างเช่น การแบน 3 สารพิษ ที่ไม่เด็ดขาด การเปิดกัญชาเสรีแบบครึ่งๆ กลางๆ หรือแม้แต่การดำเนินคดีกรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ครอบครองที่ดินส.ป.ก.ที่ยังล่าช้า แต่ดูเหมือนฝ่ายค้าน ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นเหล่านี้เท่าที่ควร ...
ก็ไม่รู้ว่าเพราะกลัวเรื่องจะวนเข้าตัว หรือว่าเพราะเป็น “ขนมจีนไร้น้ำยา”ตามที่นักข่าวสภาตั้งฉายาให้จริงๆ
** "หมอหนู" ถือคติป้องกันไว้ก่อน สั่งวางมาตรการ สกัดและควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ทั้งทางบก เรือ อากาศ หลังมีข่าวพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อ "Chinese Virus"ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
หลังมีรายงานข่าวว่า พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส "Chinese Virus" ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าเจ้าเชื้อ "Chinese Virus"อาจมีการแพร่กระจายมายังประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวจีนเป็นพาหะ เหมือนกรณีโรคซาร์ส หรือไข้หวัดนก เพราะช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซัน ที่นักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้าไทยเป็นจำนวนมาก
"หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พร้อมทีมงานจากกระทรวงสาธารณสุข จึงรีบวางมาตรการ สกัดกั้น และควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน โดยมอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรค และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง ทั้ง ด่านบก ด่านเรือ และด่านอากาศ หากพบผู้มีอาการเข้าข่ายสงสัย ให้ส่งเข้าระบบควบคุมป้องกันโรคทันที
เมื่อวานนี้ "หมอหนู" ยังไปตรวจด่านควบคุมโรค ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยตัวเอง พร้อมสั่งการให้ติดตั้งเครื่องวัดไข้อัตโนมัติ ระบบอินฟราเรด 4 จุด กำชับเจ้าหน้าที่ทำงานตลอด 24 ชม. ผู้โดยสารทุกคนจะต้องผ่านการตรวจคัดกรอง ด้วยเครื่องตรวจอุณหภูมิอัตโนมัติ หากพบว่ามีไข้ จะแยกผู้โดยสารตรงประตูทางเข้าให้สวมหน้ากากอนามัย และพาไปตรวจซ้ำที่ห้องรอส่งต่อ หากพบว่ามีไข้ และมีประวัติมาจากพื้นที่เสี่ยง จะโทร.แจ้งกรมควบคุมโรค ให้ส่งรถพยาบาล มารับไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องแยกโรคมาตรฐานทันที
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เฝ้าระวังคัดกรองผู้ โดยสาร ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เชียงใหม่ และ ภูเก็ต อีกด้วยเพราะมีสายการบินตรงมาจากอู่ฮั่น และท่าอากาศยานทั้งหมดนี้ ที่มีสายการบินตรงมาจากเมืองที่เฝ้าระวัง ก็จะทำการแยกช่องทางขาเข้า และคัดกรอง100%
พร้อมกันนี้ ก็ได้เตือนประชาชนว่า อย่าได้ตื่นตระหนก เพราะประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งขณะนี้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวเข้ามาในประเทศ แต่ถ้ามีผู้ติดเชื้อในระยะฟักตัว อาจยังไม่แสดงอาการนั้น ทางกรมควบคุมโรค มีการให้ข้อมูลสำหรับคนที่เดินทางเข้ามา หากเกิดอาการเจ็บป่วย ให้สันนิษฐานว่า เกิดจาก Chinese Virus ก็ให้ไปรักษา ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง รพ.เอกชน แล้ว หากเป็นคนมาจาก อู่ฮั่น จะได้บัตรที่มีคิวอาร์โคด สามารถสแกนเพื่อดูวิธีปฏิบัติตัวได้ หากเกิดอาการไข้ หรือ ผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม หากพบมีผู้ป่วย "หมอหนู" ก็มั่นใจว่า ทางแพทย์ของเรารักษาได้ เพราะมีประสบการณ์ในการรับมือกับ "โรคซาร์ส โรคเมอร์ส หรือไข้หวัดนก" มาแล้ว และถ้ามีการหลุดรอดออกไปก็จะต้องหาจนเจอให้ได้
ก็ต้องตบมือรัวๆ ให้ "หมอหนู" ที่ฉับไว ไม่ดูเบากับปัญหานี้ แม้จะมีข่าวว่ามีผู้ติดเชื้อในประเทศจีน แต่การป้องกันไว้ก่อน ถือว่าถูกต้องที่สุด!!
** เลิกเหนียม!! "ช่อ" ประกาศควง "ธนาธร" ร่วมวิ่งไล่ลุง ที่สวนรถไฟ 12 ม.ค.นี้ ฟุ้งมีคนร่วมทะลุหมื่นแล้ว
เลิกเหนียมอายกันแล้ว สำหรับแกนนำพรรคอนาคตใหม่ กับกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" ที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธคอเป็นเอ็น ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ถึงวันนี้ "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ไปสมัครเข้าร่วมวิ่งด้วยแล้ว แถมยังสมัครเผื่อ "พ่อฟ้า" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคด้วย ยืนยันว่า วันที่12 ม.ค.นี้ เจอกันที่สวนรถไฟ ไปร่วม"วิ่งไล่ลุง" แน่นอน
"ช่อ" ยังพูดดักคอไว้ว่า ห่วงแต่ว่า "ผู้มีอำนาจ" จะสั่งให้ยกเลิกกะทันหัน ก็จะทำให้คนที่มาลงทะเบียน ชำระเงินไปแล้วต้องมีปัญหา เสียความรู้สึก
ขณะที่ "ธนวัฒน์ วงค์ไชย" ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ บอกว่า มีผู้มาลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเฉพาะในกรุงเทพฯ ทะลุหมื่นคนไปแล้ว และยังมีอีก 18 จังหวัด ที่จัดคู่ขนานกันไปด้วย
ประกอบกับ "นิด้าโพล" ได้เผยผลสำรวจเสียงหนุน-ต้าน "วิ่งไล่ลุง-วิ่ง/เดินเชียร์ลุง" ว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 40.86 ระบุว่า "เห็นด้วยมาก" กับกิจกรรมวิ่งไล่ลุง และอีกร้อยละ 12.24 บอกว่า "ค่อนข้างเห็นด้วย" โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพียงกิจกรรมอย่างหนึ่ง ที่แสดงออกบนพื้นฐานของความถูกต้อง และเป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ดีกว่าประท้วงรุนแรง และถือว่าเป็นการมาออกกำลังกายร่วมกัน
ขณะที่ ร้อยละ 12.00 ระบุว่า "ไม่ค่อยเห็นด้วย" และ ร้อยละ 31.32 ระบุว่า "ไม่เห็นด้วยเลย" เพราะต่อให้จัดกิจกรรมขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์ อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย และอยากให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากให้มีการชุมนุมเกิดขึ้น
ส่วนกิจกรรม "วิ่ง/เดินเชียร์ลุง" ปรากฏว่า ร้อยละ 18.92 ระบุว่า "เห็นด้วยมาก" และอีก ร้อยละ 9.30 ระบุว่า "ค่อนข้างเห็นด้วย" เพราะเห็นว่า นายกฯทำให้บ้านเมืองสงบสุข ถือว่าเป็นกำลังใจให้นายกฯ ทำงานต่อไป และเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ขณะที่ ร้อยละ 17.65 ระบุว่า "ไม่ค่อยเห็นด้วย" และ ร้อยละ 49.76 บอกว่า "ไม่เห็นด้วยเลย" เพราะ ไม่อยากให้ทำกิจกรรมพร้อมกันทั้งสองฝ่าย กลัวบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย หากมีการปะทะกัน
เมื่อผลโพลออกมาอย่างนี้ ยิ่งทำให้คณะผู้จัดกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" และทีมงานตลอดจนแนวร่วมพรรคอนาคตใหม่ ออกอาการคึกคักเป็นพิเศษ รอเพียงวัน เวลา ที่จะมาถึง
ก็ขอให้จับตาดูว่า กิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นการวิ่งเท่านั้น ไม่ได้มีการจัดม็อบ ไม่มีปราศรัยทางการเมือง ไม่มีปิดถนน ไม่สร้างความวุ่นวาย ตามที่ผู้จัด และ "ช่อ" ได้ออกมายืนยันหรือไม่
--------------
รูป- ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
- อนุทิน ชาญวีรกูล
-พรรณิการ์ วานิช
**พิสูจน์ฉายา“ขนมจีนไร้น้ำยา”ฝ่ายค้านตีปี๊บศึกซักฟอก ชูปมพ่อ“บิ๊กตู่”ขายที่ดิน กูรูการเมืองฟันธง มุกแป้ก
เข้าสู่ศักราชใหม่ปี “หนูไฟ”ได้ไม่กี่วัน ฝ่ายค้านก็เริ่มตีปี๊บศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที วันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทย "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รับมอบหมายจากนายใหญ่ นั่งหัวโต๊ะแถลงข่าวในฐานะประธาน “คณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย”เป็นกุนซือใหญ่ใน ศึกอภิปรายครั้งนี้โดยเฉพาะ ประกาศล็อกเป้า รัฐมนตรี 5 คน ที่จะต้องขึ้นเขียงให้ฝ่ายค้านชำแหละ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังตรุษจีนปีนี้
เจ้าของฉายา“เป็ดเหลิม”คุยโอ่ว่าพรรคเพื่อไทย ขณะนี้พร้อมออกศึก 100% พยานหลักฐานก็พร้อม โดยวางตัวส.ส.ที่จะอภิปรายไว้ 25 คน แต่ขอยังไม่เปิดเผยชื่อเพราะกลัวไม่ปลอดภัย พร้อมเหน็บแนมว่า รัฐบาลปากกล้าขาสั่น วันนี้ไม่มีใครกลัวใคร ประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว ส่วนจะมีชื่อ "วัน อยู่บำรุง" ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ร่วมอภิปรายด้วยหรือไม่นั้น “พ่อเหลิม”บอกว่า เป็นสิทธิของ“ลูกวัน” แต่ในใจตนเองนั้น มองว่า พรรษายังไม่ถึง ยังมีเวลา ตอบแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ากลับไปถึงบ้าน จะโดนลูกชายงอนเอาหรือเปล่า
ส่วนประเด็นการอภิปรายนั้น “เป็ดเหลิม”ขอยังไม่บอก อ้างว่าต้องหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อน แต่มั่นใจว่า หลังจากอภิปรายจะทำให้กระแสเบื่อนายกฯ เพิ่มขึ้น คนชิงชังรัฐบาลมากขึ้น แต่ก็คงไม่ถึงขั้นล้มรัฐบาล เพราะไม่เคยมีสมัยไหนที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลโหวตล้มกันเอง ถึงแม้ประธาน“คณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย”ยังอุบไต๋ ประเด็นอภิปรายรัฐบาล แต่ก็ยอมรับกลายๆว่า จะมีปมการขายที่ดินย่านบางบอน ของ "พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา" บิดาของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ให้แก่บริษัทในเครือของเจ้าสัวธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งฝ่ายค้านอ้างว่า มีข้อผิดสังเกตคือ มีการตั้งบริษัทดังกล่าว ขึ้นมาเพียงแค่ 7 วัน และมีการซื้อที่ดินมีมูลค่าสูงกว่าราคาประเมิน 600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการนำที่ดินผืนดังกล่าวไปพัฒนา พร้อมกับเชื่อมโยงไปไกลถึงเรื่องการแก้ไขสัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทในเครือของเจ้าสัวคนดังกล่าว ซึ่งฝ่ายค้านมั่นอกมั่นใจว่า เรื่องนี้จะทำให้ขาเก้าอี้นายกฯ ของ“ลุงตู่”สั่นคลอนได้
แต่...ถ้าใครยังไม่ลืม ประเด็นนี้ สื่อฯ เคยรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.56 บริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทในเครือของเจ้าสัว “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ประธานคณะกรรมการบริหารของไทยเบฟเวอเรจ ได้ซื้อที่ดินในย่านบางบอน ซอย 3 แขวงบางบอน กรุงเทพฯ จำนวน 9 แปลง เนื้อที่ 50-3-08 ไร่ จากบิดาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในราคา 600 ล้านบาท ซึ่งแม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการซื้อในราคาที่สูงเกินจริง หรือไม่ เพราะเป็นราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน แต่“ดร.โสภณ พรโชคชัย”ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เคยแถลงยืนยันว่า ราคาที่ซื้อขายนี้ สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยถ้าซื้อในราคา 600 ล้านบาท
คิดเฉลี่ยแล้วก็ตกไร่ละ 11.818 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับราคาตลาด โดยเฉพาะที่ดินติดถนนบางบอน 3 ขณะนั้นมีราคาเบื้องต้นไร่ละ 15-18 ล้านบาท
...ถ้าอยากรู้ให้มากขึ้นว่า "โสภณ พรโชคชัย" เป็นใคร ลองเสิร์ชกูเกิล ดู เขาไม่ใช่ “ติ่งลุงตู่”อย่างแน่นอน
ขณะที่ “ไพศาล พืชมงคล”อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งปัจจุบันออกมาเป็นนักวิเคราะห์การเมืองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ได้ให้ความเห็นแบบ "ฟันธง" ไปเลยทันทีว่า ปมการขายที่ดินของพ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา นั้นล้ม“ลุงตู่”ไม่ได้แน่นอน ด้วยเหตุที่ 1. เป็นที่ดินของบิดาไม่ใช่ของลุงตู่ และลุงตู่ไม่ใช่ผู้ขาย 2. เป็นการซื้อขายในปี 56 ก่อนลุงยึดอำนาจ ยังไม่เป็นนายกฯ ไม่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน 3. ราคาที่ดินที่ขายย่อมสูงกว่าราคาประเมินเป็นปกติอยู่แล้ว 4. ราคาซื้อขายเท่าใดย่อมขึ้นอยู่กับการตกลง 5. บริษัทคุณเจริญ ซื้อที่ดินแล้วจะพัฒนาเมื่อใด จะมีรายได้อย่างไร เป็นวิธีการลงทุนของคุณเจริญ ไม่เกี่ยวกับลุงแก 6. ตอนซื้อขายไม่มีใครรู้ว่าลุงแกจะเป็นนายกฯ เพราะตอนนั้นคุณยิ่งลักษณ์ มีอำนาจมาก
"ผมไม่ชอบใจเรื่องกัญชา แต่เรื่องนี้ก็ด่าลุงแกไม่ได้" ไพศาล พืชมงคล กล่าวทิ้งท้าย ซึ่งหลายคนคงเห็นด้วย นั่นเพราะ 5 เดือนของรัฐบาลลุงตู่ ก็ยังมีการบริหารงานที่ขาดตกบกพร่อง เรื่องอื่นๆ ที่ควรเอามาเป็นประเด็นอภิปรายมากกว่า อย่างเช่น การแบน 3 สารพิษ ที่ไม่เด็ดขาด การเปิดกัญชาเสรีแบบครึ่งๆ กลางๆ หรือแม้แต่การดำเนินคดีกรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ครอบครองที่ดินส.ป.ก.ที่ยังล่าช้า แต่ดูเหมือนฝ่ายค้าน ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นเหล่านี้เท่าที่ควร ...
ก็ไม่รู้ว่าเพราะกลัวเรื่องจะวนเข้าตัว หรือว่าเพราะเป็น “ขนมจีนไร้น้ำยา”ตามที่นักข่าวสภาตั้งฉายาให้จริงๆ
** "หมอหนู" ถือคติป้องกันไว้ก่อน สั่งวางมาตรการ สกัดและควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน ทั้งทางบก เรือ อากาศ หลังมีข่าวพบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อ "Chinese Virus"ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน
หลังมีรายงานข่าวว่า พบผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส "Chinese Virus" ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าเจ้าเชื้อ "Chinese Virus"อาจมีการแพร่กระจายมายังประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวจีนเป็นพาหะ เหมือนกรณีโรคซาร์ส หรือไข้หวัดนก เพราะช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซัน ที่นักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางเข้าไทยเป็นจำนวนมาก
"หมอหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พร้อมทีมงานจากกระทรวงสาธารณสุข จึงรีบวางมาตรการ สกัดกั้น และควบคุมโรคอย่างเร่งด่วน โดยมอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรค และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวัง คัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง ทั้ง ด่านบก ด่านเรือ และด่านอากาศ หากพบผู้มีอาการเข้าข่ายสงสัย ให้ส่งเข้าระบบควบคุมป้องกันโรคทันที
เมื่อวานนี้ "หมอหนู" ยังไปตรวจด่านควบคุมโรค ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยตัวเอง พร้อมสั่งการให้ติดตั้งเครื่องวัดไข้อัตโนมัติ ระบบอินฟราเรด 4 จุด กำชับเจ้าหน้าที่ทำงานตลอด 24 ชม. ผู้โดยสารทุกคนจะต้องผ่านการตรวจคัดกรอง ด้วยเครื่องตรวจอุณหภูมิอัตโนมัติ หากพบว่ามีไข้ จะแยกผู้โดยสารตรงประตูทางเข้าให้สวมหน้ากากอนามัย และพาไปตรวจซ้ำที่ห้องรอส่งต่อ หากพบว่ามีไข้ และมีประวัติมาจากพื้นที่เสี่ยง จะโทร.แจ้งกรมควบคุมโรค ให้ส่งรถพยาบาล มารับไปยังโรงพยาบาลที่มีห้องแยกโรคมาตรฐานทันที
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เฝ้าระวังคัดกรองผู้ โดยสาร ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เชียงใหม่ และ ภูเก็ต อีกด้วยเพราะมีสายการบินตรงมาจากอู่ฮั่น และท่าอากาศยานทั้งหมดนี้ ที่มีสายการบินตรงมาจากเมืองที่เฝ้าระวัง ก็จะทำการแยกช่องทางขาเข้า และคัดกรอง100%
พร้อมกันนี้ ก็ได้เตือนประชาชนว่า อย่าได้ตื่นตระหนก เพราะประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งขณะนี้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวเข้ามาในประเทศ แต่ถ้ามีผู้ติดเชื้อในระยะฟักตัว อาจยังไม่แสดงอาการนั้น ทางกรมควบคุมโรค มีการให้ข้อมูลสำหรับคนที่เดินทางเข้ามา หากเกิดอาการเจ็บป่วย ให้สันนิษฐานว่า เกิดจาก Chinese Virus ก็ให้ไปรักษา ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง รพ.เอกชน แล้ว หากเป็นคนมาจาก อู่ฮั่น จะได้บัตรที่มีคิวอาร์โคด สามารถสแกนเพื่อดูวิธีปฏิบัติตัวได้ หากเกิดอาการไข้ หรือ ผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม หากพบมีผู้ป่วย "หมอหนู" ก็มั่นใจว่า ทางแพทย์ของเรารักษาได้ เพราะมีประสบการณ์ในการรับมือกับ "โรคซาร์ส โรคเมอร์ส หรือไข้หวัดนก" มาแล้ว และถ้ามีการหลุดรอดออกไปก็จะต้องหาจนเจอให้ได้
ก็ต้องตบมือรัวๆ ให้ "หมอหนู" ที่ฉับไว ไม่ดูเบากับปัญหานี้ แม้จะมีข่าวว่ามีผู้ติดเชื้อในประเทศจีน แต่การป้องกันไว้ก่อน ถือว่าถูกต้องที่สุด!!
** เลิกเหนียม!! "ช่อ" ประกาศควง "ธนาธร" ร่วมวิ่งไล่ลุง ที่สวนรถไฟ 12 ม.ค.นี้ ฟุ้งมีคนร่วมทะลุหมื่นแล้ว
เลิกเหนียมอายกันแล้ว สำหรับแกนนำพรรคอนาคตใหม่ กับกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" ที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธคอเป็นเอ็น ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน แต่ถึงวันนี้ "ช่อ" พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ไปสมัครเข้าร่วมวิ่งด้วยแล้ว แถมยังสมัครเผื่อ "พ่อฟ้า" ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคด้วย ยืนยันว่า วันที่12 ม.ค.นี้ เจอกันที่สวนรถไฟ ไปร่วม"วิ่งไล่ลุง" แน่นอน
"ช่อ" ยังพูดดักคอไว้ว่า ห่วงแต่ว่า "ผู้มีอำนาจ" จะสั่งให้ยกเลิกกะทันหัน ก็จะทำให้คนที่มาลงทะเบียน ชำระเงินไปแล้วต้องมีปัญหา เสียความรู้สึก
ขณะที่ "ธนวัฒน์ วงค์ไชย" ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ บอกว่า มีผู้มาลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเฉพาะในกรุงเทพฯ ทะลุหมื่นคนไปแล้ว และยังมีอีก 18 จังหวัด ที่จัดคู่ขนานกันไปด้วย
ประกอบกับ "นิด้าโพล" ได้เผยผลสำรวจเสียงหนุน-ต้าน "วิ่งไล่ลุง-วิ่ง/เดินเชียร์ลุง" ว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 40.86 ระบุว่า "เห็นด้วยมาก" กับกิจกรรมวิ่งไล่ลุง และอีกร้อยละ 12.24 บอกว่า "ค่อนข้างเห็นด้วย" โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพียงกิจกรรมอย่างหนึ่ง ที่แสดงออกบนพื้นฐานของความถูกต้อง และเป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ดีกว่าประท้วงรุนแรง และถือว่าเป็นการมาออกกำลังกายร่วมกัน
ขณะที่ ร้อยละ 12.00 ระบุว่า "ไม่ค่อยเห็นด้วย" และ ร้อยละ 31.32 ระบุว่า "ไม่เห็นด้วยเลย" เพราะต่อให้จัดกิจกรรมขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์ อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย และอยากให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากให้มีการชุมนุมเกิดขึ้น
ส่วนกิจกรรม "วิ่ง/เดินเชียร์ลุง" ปรากฏว่า ร้อยละ 18.92 ระบุว่า "เห็นด้วยมาก" และอีก ร้อยละ 9.30 ระบุว่า "ค่อนข้างเห็นด้วย" เพราะเห็นว่า นายกฯทำให้บ้านเมืองสงบสุข ถือว่าเป็นกำลังใจให้นายกฯ ทำงานต่อไป และเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ขณะที่ ร้อยละ 17.65 ระบุว่า "ไม่ค่อยเห็นด้วย" และ ร้อยละ 49.76 บอกว่า "ไม่เห็นด้วยเลย" เพราะ ไม่อยากให้ทำกิจกรรมพร้อมกันทั้งสองฝ่าย กลัวบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย หากมีการปะทะกัน
เมื่อผลโพลออกมาอย่างนี้ ยิ่งทำให้คณะผู้จัดกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" และทีมงานตลอดจนแนวร่วมพรรคอนาคตใหม่ ออกอาการคึกคักเป็นพิเศษ รอเพียงวัน เวลา ที่จะมาถึง
ก็ขอให้จับตาดูว่า กิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นการวิ่งเท่านั้น ไม่ได้มีการจัดม็อบ ไม่มีปราศรัยทางการเมือง ไม่มีปิดถนน ไม่สร้างความวุ่นวาย ตามที่ผู้จัด และ "ช่อ" ได้ออกมายืนยันหรือไม่
--------------
รูป- ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
- อนุทิน ชาญวีรกูล
-พรรณิการ์ วานิช