ป้อมพระสุเมรุ
ดูจะเบาไปหลายดีกรี
สำหรับฉายา “รัฐอิสระ” ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล พร้อมใจมอบให้ “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มีหมวกอีกใบเป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ด้วย
เพื่อสะท้อนไปถึงบทบาทของ “ค่ายสะตอ” ที่สร้างปัญหาในการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลทั้งใน “ฝ่ายบริหาร” ที่ให้ความสำคัญ และเดินหน้าเฉพาะนโยบายของพรรคตนเองเป็นหลัก รวมทั้งยังไม่สนใจภาพรวมของรัฐบาลแม้แต่น้อย
ดั่งคำค่อนแคะในอดีตที่หลายพรรคการเมืองมอบให้ “ค่ายเก่าแก่” ว่าถนัดแต่ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”
กระทบไปถึง “ทีมเวิร์ก” ของ “ทีมเศรษฐกิจ” ในรัฐบาลที่แทบหาไม่ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกระทรวงสำคัญอย่าง กระทรวงพาณิชย์ และอาจรวมไปถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นั่งเป็น “ว่าการ” อยู่
กลายเป็นการเปิดชายโครงให้ “ฝ่ายตรงข้าม” ไล่ถลุงเรื่องผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่เว้นแม้แต่ละวัน
อันเป็นปฐมเหตุให้ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาตัดพ้อประมาณว่า “เศรษฐกิจขาเดียว” ว่าสามารถควบคุมนโยบายของกระทรวงการคลังเท่านั้น ส่วนกระทรวงเศรษฐกิจอื่นๆ ต้องไปถาม “พรรคร่วมรัฐบาล” ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เอง หรือ “ค่ายบุรีรัมย์” ที่กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม อยู่ด้วย
คำตัดพ้อของ “สมคิด” นั้น “จงใจ” กระทบคราดไปถึงท่าทีกระด้างกระเดื่องของ “ค่ายสะตอ-ค่ายบุรีรัมย์” ที่นับวันต่างก้มหน้าก้มตาย “เดินขาเดียว” กอบคะแนนนิยมแบบไม่สนใจเพื่อนที่โดดลง “เรือแป๊ะ” ลำเดียวกันมา
อย่างไรก็ดีหากประเมิน “จิตพิสัย” แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า “ค่ายเซราะกราว” ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังถือเป็น “เด็กดี” ที่พูดคุยกันรู้เรื่อง
ขณะที่ “ค่ายสะตอ” นั้นถูกมองเป็น “เด็กดื้อ” ที่ท่าทางจะขุนไม่ขึ้น
เพราะไม่เพียงแต่งานในรัฐบาลที่เป็น “ดื้อตาใส” มาตลอดเท่านั้น งานใน “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ก็ยังทำตัวเป็น “หอกข้างแคร่” พร้อมจะทิ่มแทงรัฐบาลได้ตลอดเวลา
พิสูจน์มาแล้วเมื่อครั้งลงมติในญัตติขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบ จากประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค.ปีกลาย
ในครั้งนั้น มี 6 ส.ส.ค่ายเก่าแก่ นำโดย “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่ “โหวตสวน” พร้อมยก “ข้ออ้างหล่อๆ” ว่าไม่ขอยอมรับอำนาจคณะเผด็จการ ตามเจตนารมณ์ของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกฯ ที่เป็นหนึ่งในผู้เสนอญัตติดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
กระทั่งทำให้ “ฝ่ายรัฐบาล” เสียฟอร์มหลังพ่ายแพ้การโหวตต่อ “ฝ่ายค้าน” ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์ “สภาล่ม” ทำให้ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมองค์ประชุม ถูกก่นด่าสนุกปาก ฝ่ายค้านเองก็ได้ทีขย่มไม่เลิก
ด้วยเป็นการสะท้อนเสถียรภาพ “ปริ่มน้ำ-จมน้ำ” ของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
เลยต้องมีการจัดงานสังสรรค์ “มีตติ้งหูฉลาม” เพื่อประสานแผล-ปรับจูนความเข้าใจกันในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล โดยที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องลงพูดคุยกับตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลด้วยตัวเอง
ขณะที่ “อู๊ดด้า ณ “ค่ายสะตอ” กับ “หมอหนู ณ ค่ายเซราะกราว” ก็ถือว่า “เล่นเป็น” ตามประสาผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างเชี่ยวกราก โดยถือโอกาสในทุกงานทางการ และไม่ทางการ ที่ “2 หัวหน้าพรรค” พยายามโชว์ภาพความหวานชื่น และเข้าใจกันดีกันออกมา
ดังจะเห็นได้จากงานเลี้ยงสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ที่ทั้ง “จุรินทร์” และ “อนุทิน” พยายามก้อร่อก้อติก “นายกฯ ตู่” ตั้งแต่ต้นจนจบงาน
แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็มิอาจทำให้ “ส.ส.แตกแถว” กลับเข้าแถวได้ เมื่อ “เทพไท และพวก” ยังยึก “หลักการสุดหล่อ” ไม่ให้ความร่วมมือทำตาม “มติวิปรัฐบาล” เช่นเดิม แต่ได้ “ตัวช่วย” จาก ส.ส.ฝ่ายค้าน 10 เสียง มาโหวตให้จนรัฐบาลพลิกเอาชนะไปได้อย่างหืดจับ
แล้วจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ยักจะมีบทลงโทษ ส.ส.แตกแถวใดๆ จากพรรคเก่าแก่ที่ยึดถือ “มติพรรค” เหนือสิ่งอื่นใดออกมาเลย
เมื่อ “ค่ายสะตอ” ไม่สามารถควบคุม ส.ส.ของพรรคได้ “ความหวาดระแวง” ภายในรัฐบาล ก็ไม่จาง กระทั่งมีข่าวคราวจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี โดนเฉดหัว “ประชาธิปัตย์” ออก หรืออย่างน้อยก็สั่งสอนพวกที่กระด้างกระเดื่องให้รู้สำนึก
ดีที่มีช่วงเทศกาลปีใหม่มาเป็น “ระฆังหมดยก” เสียก่อน
ทว่า ช่วงพักยกนี่เอง จู่ๆ เจ้าของสมญา “มีดโกนขึ้นสนิม” ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็น ประธานรัฐสภา โดยตำแหน่งด้วย ก็หล่นคอมเมนท์การเมืองเกี่ยวกับการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สภาผู้แทนราษฎร เพิ่งผ่านญัตติตั้งคณะกรรมาธิการ ไปหมาดๆ
“ส่วนตัวเป็นคนหนึ่งที่ไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมีความเป็นประชาธิปไตยน้อยกว่าในอดีต”
พร้อมยังตวัดมีดโกนกรีดไปที่ “กล่องดวงใจ” ของรัฐบาลและรัฐธรรมนูญอีกว่า
“ถ้าคิดจะแก้จริงๆ ก็อย่าไปคิดล้มเลย ถ้าอยากให้แก้ไขได้จริงๆก็ต้องให้ทุกฝ่ายเห็นด้วย ปรับให้เป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือเอาบางส่วนออกไป เช่น การบรรจุให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องเป็น ส.ว. ผมคิดว่าโดยหลักไม่เคยมีการระบุ ส.ว.โดยตำแหน่งแบบนี้ เพราะถ้าจะเลือกคนเข้ามาก็ควรเป็นระบบอื่น ผมไม่ได้ว่าตำแหน่งของเขา แต่ในทางประชาธิปไตยไม่ควรไปกำหนดให้ทำอย่างนั้น”
พลันที่ “นายหัวชวน” โยนหินออกมา “ลูกคู่ขาประจำ” อย่าง “เสี่ยคึก-เทพไท” ก็ออกมางับทันที โดยระบุว่า “เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง”
เข้าใจดีว่าการให้ความเห็นของ “มีดโกนเมืองตรัง” เป็นไปตามหัวข้อที่สังคมให้ความสนใจ แต่ต้องไม่ลืมว่า “นายหัวชวน” เป็นสัญลักษณ์ของ “ค่ายสะตอ”
คำพูดของ “ชวน” ก็ไม่ต่างจากจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง
และต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า “ลุงตู่ และชาวคณะ” ไม่ได้ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย
การแสดงตัวว่ารัฐธรรมนูญต้องมีการแก้ไขนั้นย่อมขัดใจ “บิ๊กรัฐบาล” ไม่มากก็น้อย แล้วยัง “ออฟไซด์” ลงรายละเอียด ชี้เป้าไปที่ “ส.ว.” ในส่วนของ “ผู้นำเหล่าทัพ” ที่รู้กันดีว่าเพื่อ “ความมั่นคง” เป็นสำคัญ
ซ้ำร้ายยังเป็นโมเดลเดิมที่เคยสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลมาแล้ว อย่างการรีเซ็ตคำสั่ง คสช. ที่ครั้งนั้เน “เดอะมาร์ค-อภิสิทธิ์” ทิ้งเชื้อไว้ แล้วก็เป็น “เทพไท” ที่รับลูกมาครั้งนี้เบอร์ใหญ่กว่าอย่าง “ประธานชวน” จุดพลุขึ้นมา ก็เป็น “เทพไท” หน้าเก่าที่รับลูกเหมือนเดิม
ทั้งเกมในฝ่ายบริหาร มาถึงเกมในฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ “คน ปชป.” กำลังบรรเลงอย่างเมามัน ไม่ไว้หน้า “บิ๊กทหาร” ที่ตระหง่านร่วมรัฐบาลอยู่
ก็พออนุมานได้ว่า “ค่ายสีฟ้า” จะเป็น “หอกข้างแคร่” ของ “รัฐบาลประยุทธ์” ต่อไป
ไม่เท่านั้นยังเป็นเหมือน “บาดทะยัก” ในรัฐบาล ที่รอเพียงเวลา “กำเริบ” เท่านั้นอีกด้วย.