ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ให้อภัยผมบ้างเถอะ!! "ลุงตู่" ขอยึดพรพระสังฆราช จะใช้วาจาอันไพเราะกับทุกคน ไม่สนปีชง
เริ่มต้นวันทำงานวันแรกของปีหนู "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ถือโอกาสหยอดลูกอ้อนสื่อ ที่ชอบแขวะเรื่องเป็น "ลุงหัวร้อน" ด้วยคำขอ "ให้อภัยผมบ้างเถอะ" เพราะ ก็รู้ตัวอยู่ "บางทีคิดเร็ว พูดเร็ว ทำเร็ว บางทีก็มีอารมณ์บ้าง"
ส่วนที่ กรณีที่โหรหลายสำนัก ทำนายดวงเมือง และระบุว่าการเมืองปี 2563 นี้อาจจะขัดแย้งหนักถึงขั้นยุบสภาฯ และทางโหราศาสตร์จีน ระบุด้วยว่าปีนี้เป็นปีชงของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเกิดปีมะเมีย จะป้องกันแก้เคล็ดอย่างไร หรือไม่ "ลุงตู่" ดูเหมือนจะไม่สน บอก“หมอดูก็คือหมอดู"
แถมฝากไปถึงรัฐมนตรีในครม. ของตัวเองด้วยว่า ก็ผ่านมาหลายรอบแล้วปีชง ถ้าเราทำความดีด้วยหัวใจ คิดดีทำดี ความดีจะชนะทุกอย่าง และมีสติ ไม่ประมาท พร้อมกับยกพรปีใหม่ จากสมเด็จพระสังฆราช ที่ได้ประทานพรมาว่า "วาจาอันไพเราะ ยังประโยชน์สู่ความสำเร็จ”
"เพราะฉะนั้น ผมจะใช้วาจาอันไพเราะของผมกับทุกคน" ลุงตู่ กล่าวพร้อมยืนยันว่า ไม่ได้กังวลเรื่องดวงเลย หรือเรื่องปีชงเลย
"ผมกังวลแล้วได้อะไรขึ้นมา ผมก็คือผม ผมเกิดมาแล้วก็เปลี่ยนวันเกิดไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมว่าไม่ใช่อยู่ที่ดวงอย่างเดียวหรอก"
ดวงชะตาก็ว่ากันไป จะแม่นหรือไม่แม่นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เปิดฉากมาปีนี้ "รัฐบาลลุงตู่" ต้องเจอด่านทดสอบเรื่องการทำงานจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ ครม. 5 คน ซึ่ง ลุงตู่ เหมือนจะรู้ว่า แว่วๆ ว่างานนี้ฝ่ายค้านจะถือโอกาสพกความแค้นมาใส่ไม่ยั้ง จึงต้องเตือนฝ่ายแค้นไว้ก่อนว่า...รัฐบาลนี้เพิ่งทำงาน 5 เดือน เท่านั้นนะ จำไว้!
ย้ำแล้วย้ำอีกว่า รัฐบาลนี้ 5 เดือน รัฐบาลที่แล้วก็ส่วนรัฐบาลที่แล้ว ฉะนั้นการอภิปรายครั้งนี้ เป็นการอภิปรายนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ในครม.ชุดนี้ อย่าเอามาพันกัน มันจะเสียหายไปหมด ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ทำไว้เสียไปด้วย ที่ทำดีๆไว้ ก็เสียหายหมดเพราะไม่เข้าใจกัน แล้วจะทำงานกันอย่างไรต่อไป
"ลุงตู่" ยังฝากไปอีกว่าอย่าเอาความไม่ชอบส่วนตัวมาว่า ประเทศชาติสำคัญกว่าอย่างอื่น และไม่ได้วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น ก็ชี้แจงไป สุดแล้วแต่ว่า วัตถุประสงค์นั้นทำไปเพื่ออะไร ตอบได้ก็คือตอบ
"ก็ฟังกันบ้างในคำตอบ อย่าถามอย่างเดียวแล้วไม่ฟังคำตอบ ขอฝากประชาชนช่วยฟังคำตอบด้วย"
งานนี้ "ลุงตู่" งัดทั้งลูกอ้อน "ให้อภัยผมเถอะ" และลูกตีกันดักคอฝายตรงข้ามไว้ รัฐบาลเพิ่งทำงานมา 5 เดือน และยังบอกประชาชนด้วยว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ช่วยมาฟังด้วยว่าฝ่ายค้านจะว่าอะไร และรัฐบาลจะตอบว่าไร...
ก็ต้องมาลุ้นกันว่า ถึงเวลาอภิปรายฯ "ลุงตู่" จะเอาอยู่แค่ไหน !!
** "พรเพชร" พูดชัดๆ เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าคิดจะ "ไขประตูบานแรก" ด้วยการยกเลิก มาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร. ยกร่างใหม่ทั้งฉบับนั้น ทำไม่ได้ เสนอมาก็ไม่ผ่าน เลิกคิดไปได้เลย !! "บิ๊กป้อม" บอกที่ให้ ผบ.เหล่าทัพ เป็น ส.ว.โดยตำแหน่งก็เพื่อเรียนรู้งานสภาฯ จะได้ไปชี้แจงกับกำลังพลในกองทัพได้ถูกต้อง
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลายเป็นประเด็นร้อนตั้งแต่ต้นปี เมื่อ กมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในซีกของฝ่ายค้าน "ชำนาญ จันทร์เรือง" รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมาจุดพลุ เรื่อง "ไขกูญแจดอกแรก" ด้วยการแก้ไข มาตรา 256 ที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
อีกมาตรา ที่ถูกยกขึ้นมาว่าต้องโละทิ้งคือ มาตรา 279 ที่ บัญญัติว่า "บรรดาประกาศ คําสั่ง และการกระทําของ คสช. หรือของหัวหน้า คสช. ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ หรือที่จะออกใช้บังคับต่อไปตาม มาตรา 265 วรรคสอง ไม่ว่าเป็นประกาศ คําสั่ง หรือ การกระทําที่มีผลใช้บังคับ ในทางรัฐธรรมนูญ ทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร หรือทางตุลาการ ให้ประกาศ คําสั่ง การกระทําตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศ คําสั่ง หรือการกระทํานั้น เป็นประกาศ คําสั่ง การกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย และมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป"
ตีความให้เข้าใจง่ายๆคือ ให้บรรดาการใช้อำนาจพิเศษในยุค คสช. รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจพิเศษที่ คสช. ประกาศใช้ ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ
ซึ่งกมธ.จากพรรคอนาคตใหม่บอกยอมไม่ได้ เพราะ ปัญหาที่ตามมาคือ ทำให้การอาศัยอำนาจดังกล่าว หรือการกระทำตามอำนาจดังกล่าว ไม่อาจถูกตรวจสอบได้
ยังมีเรื่อง โละโควตาผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่มาเป็นส.ว.โดยตำแหน่ง 6 ที่นั่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงการให้สัมภาษณ์ของ "นายชวน หลีกภัย" ประธานรัฐสภา ที่บอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องเป็น ส.ว. เพราะที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีการระบุแบบนี้
แน่นอนว่า "นายชวน" เป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีจุดยืนไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญนี้มาตั้งแต่ต้น แต่ปัจจุบัน นายชวน "สวมหมวก" ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ... จึงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นให้ฝ่ายค้านไปเคลมว่า แม้แต่ประธานรัฐสภา ยังเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องเหล่านี้ ...
เมื่อมีการจุดพลุขึ้นมาอย่างนี้ แม้อดีตหัวหน้าคสช. อย่าง "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะไม่ถึงกับโดดออกมาแสดงจุดยืนคัดค้าน โดยบอกว่า เป็นเรื่องของกมธ. เขาจะศึกษา จะแก้อะไร ได้หรือไม่ได้ ก็จะไม่ไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องของกมธ. ไปศึกษา ว่ากันไปตามกระบวนการ ...เป็นการแสดงให้เห็นว่า ไม่ค่อยให้ความสนใจว่าจะแก้เรื่องอะไร อยากแก้ก็แก้ไป... ถ้าคิดว่าทำได้ !!
ขณะที่ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาชี้แจง แสดงเหตุผลว่า ที่ต้องให้ ผบ.เหล่าทัพ มาเป็นส.ว. ก็เพื่อจะได้ทำงานร่วมกับ ส.ส.-ส.ว. ได้ติดตามงานในสภาฯที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน จะได้นำไปชี้แจงกับกำลังพลในกองทัพได้อย่างถูกต้อง ...ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องปฏิวัติ รัฐประหาร แต่อย่างใด
ส่วน "วิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นมือกฎหมายของรัฐบาล บอกไม่มีความเห็นว่าจะแก้ไขเรื่องอะไรกันบ้าง แต่ขออธิบายถึงขั้นตอนว่า ใครมีความเห็นอะไร จะแก้ตรงจุดไหน ก็เสนอผ่านไปทางกมธ. จากนั้นกมธ.ก็จะพิจารณา รวบรวมนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ โดยต้องมีการยกร่าง ขึ้นมาก่อน ที่จะเสนอเข้าสภาฯ รวมถึงต้องได้รับความเห็นชอบใน วาระ 1- 2 และ 3 ถ้าตกไปในวาระ 1- 2 และ 3 ก็ไม่ต้องทำประชาพิจารณ์ เพราะถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ
ส่วนสามารถทำประชาพิจารณ์ก่อนได้หรือไม่นั้น จะบอกว่าทำไม่ได้ ก็ไม่เชิง เพราะกฎหมายไม่ได้บอกให้ทำ หรือมีผลอย่างไร เนื่องจากการทำประชาพิจารณ์ ต้องใช้งบฯ 2,000-3,000 ล้านบาท
นั้นเป็นความเห็นของ "ฝ่ายบริหาร" ที่แสดงออกเหมือนว่าจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว โดยปล่อยให้กมธ. และสภาฯ ดำเนินการไป
ต่างจาก "พรเพชร วิชิตชลชัย" ประธานวุฒิสภา ที่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจน ว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ กมธ. ซีกฝ่ายค้านเสนอมา โดยบอกว่าในชั้นการศึกษาของ กมธ.นั้น จะยกประเด็นใดขึ้นมาบ้าง ส.ว.จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่จะติดตามดูอยู่วงนอก เพราะในขั้นตอนของการศึกษา จะยังไม่มีผลอย่างเป็นทางการ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องเสนอเข้าที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ไม่ใช่ผ่าน ส.ส. และมา ส.ว. เหมือนกฎหมายทั่วไป และยังมีเงื่อนไขไว้อีกหลายอย่าง เช่น ต้องมีเสียง ส.ว.เห็นชอบด้วย อย่างน้อย 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง จึงอยากจะบอกอย่างตรงไปตรงมา ว่า ถ้าแก้ไขในประเด็นที่ควรแก้ไข ส.ว.ก็คงเห็นด้วย หรือถึงแม้ส.ว.ไม่เห็นด้วย ก็มาหารือกันได้ ส.ว.ไม่ได้ปิดประตูตายว่าจะไม่แก้...
แต่ถ้าบอกว่า ยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลง มาตรา 256 ที่ว่าด้วยวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แบบยกเลิกไปเลย แล้วตั้ง ส.ส.ร.ให้มายกร่างรธน.ใหม่นั้น... ขอบอกว่าในทางกฎหมายก็ทำไม่ได้แล้ว หากเสนอเข้ามา คงไม่ได้ ไม่ผ่าน พูดได้เลยว่า อย่าไปคิดเลย ถ้าส.ส.จะมาคุยก็คุยกันก็ยาก เพราะมาตรานี้ คือกุญแจสำคัญ
"นี่คือความเห็นส่วนตัวของผม และคิดว่าหลายๆคน ก็มีความคิดเหมือนผม เพราะการแก้ มาตรา 256 จะกระทบกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งหมด"
ถ้าจะแก้เรื่องระบบคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มีปัญหา หรือเรื่องคุณสมบัติต่างๆ เอาออกกันง่ายดายเหลือเกิน ส.ว.ก็ยินดีแก้ไข พูดกันได้ทุกเรื่อง ทุกอย่าง แต่ต้องแก้ไขไปตามกระบวนการ ที่ระบุใน มาตรา 256 และอยากจะบอกให้เข้าใจว่า ส.ว.ไม่ได้มีเสียงเป็นใหญ่ และส.ว.ไม่ได้หวงแหนอะไร ใครจะไม่อยากให้บ้านเมืองดี ดังนั้นรัฐธรรมนูญที่ควรแก้ไข ก็ควรจะเข้าใจด้วยกันทั้งสองสภาฯ คือทั้งส.ส. และส.ว. ไม่ใช่เรื่องไปตั้งคนนั้น คนนี้ มาเป็นส.ว.
ส่วนประเด็น ส.ว.มีส่วนสำคัญในการเลือกนายกรัฐมนตรี อันนี้ก็ว่ากันไป เพราะในส่วนนี้ เป็นแค่บทเฉพาะกาลเท่านั้น ยังพอคุยกันได้ แต่ถ้าบอกว่าล้มรัฐธรรมนูญนี้ แล้วเขียนขึ้นใหม่ โดยใครก็ไม่รู้ อันนี้ผมว่าเป็นไปไม่ได้ หากต้องการส.ส.ร. ที่ผ่านการเลือกตั้ง ก็ต้องหาวิธีการที่พอฟังได้ วิธีการที่เสนอมาง่ายๆ แบบนี้ ผมถือว่าฟังไม่ได้...
คงชัดเจนแล้วว่า ท่าทีของ ส.ว.คิดอย่างไรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ...ถ้า ส.ว.ไม่เอาด้วยก็จบเห่ !!