ผู้จัดการรายวัน360- "คาร์ลอส กอส์น" อดีตประธานบริหารของบริษัทนิสสัน อ้างจำเป็นต้องหลบหนีไปยังเลบานอน เพื่อหลบหลีกกระบวนการยุติธรรม "ขี้โกง" ในญี่ปุ่น กระพือคำถามว่าผู้บริหารผู้มีชื่อเสียงและมีคนจำได้มากที่สุดคนหนึ่งของโลก สามารถหลบหนีประกันออกนอกญี่ปุ่นไปได้อย่างไร ขณะที่สื่อญี่ปุ่น ประณามเป็นคนขี้ขลาด หลังจากหลบหนีเพื่อหลีกเลี่ยงการพิจารณาคดีในญี่ปุ่น
การเดินทางออกจากญี่ปุ่นอย่างกะทันหันของ กอส์น ถือเป็นจุดพลิกผันล่าสุดของเรื่องอื้อฉาวที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี ซึ่งสั่นคลอนอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และกัดเซาะความเป็นพันธมิตรระหว่างนิสสัน มอเตอร์ โค กับ เรโนลต์ เอสพี ผู้ถือหุ้นใหญ่ของพวกเขา รวมถึงเพิ่มการพินิจพิเคราะห์ต่อระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น
"ตอนนี้ผมอยู่ในเลบานอน และจะไม่ยอมตกเป็นตัวประกันของระบบยุติธรรมขี้โกงของญี่ปุ่นอีกต่อไป ระบบยุติธรรมที่ตัดสินความผิดจากการสันนิษฐาน มีการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรง และปฏิเสธพื้นฐานสิทธิมนุษยชน" กอส์น วัย 65 ปีกล่าวในถ้อยแถลงสั้นๆ ที่เผยแพร่ในวันอังคาร (31ธ.ค.)
"ผมไม่ได้หลบหนีความยุติธรรม ผมหลบหนีความไม่ยุติธรรมและการตามประหัตประหารทางการเมือง ในที่สุดตอนนี้ผมก็สามารถสื่อสารได้อย่างอิสระกับสื่อมวลชน และตั้งตาคอยเริ่มต้นใหม่ในสัปดาห์หน้า"
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่โตเกียวเคยออกมายืนยันว่า ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่นมีมนุษยธรรมและ กอส์นได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆ ในขณะที่เขาเผชิญการพิจารณาคดีตามข้อกล่าวหาประพฤติผิดทางการเงิน ข้อกล่าวหาที่เขาปฏิเสธ
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า กอส์น ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือหลายสัญชาติทั้ง ฝรั่งเศส, บราซิล และเลบานอน สามารถจัดฉากหลบหนีออกจากญี่ปุ่นได้อย่างไร ในเมื่อเขาอยู่ภายใต้การสอดแนมอย่างเข้มข้นโดยเจ้าหน้าที่ภายใต้เงื่อนไขประกันตัว และถูกยึดพาสปอร์ตไว้
แหล่งข่าวระดับอาวุโสประจำกระทรวงการต่างประเทศเลบานอน ระบุว่า กอส์น เดินทางเข้าเลบานอนอย่างถูกกฎหมาย ผ่านกระบวนการด้านความมั่นคงตามปกติ ภายใต้พาสปอร์ตของฝรั่งเศส และใช้บัตรประจำตัวประชาชนเลบานอนของเขา
รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้ระบุว่า เขาเดินทางมาจากอิสตันบูล มาถึงกรุงเบรุตด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวในวันจันทร์ (30ธ.ค.) อย่างไรก็ตามกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส และกระทรวงต่างประเทศเลบานอน ต่างบอกว่าพวกเขาไม่ทราบกรณีแวดล้อมในการเดินทางของเขา
หน่วยงานด้านความมั่นคงของเลบานอนระบุว่า กอส์นจะไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ต่อแนวทางที่เขาเดินทางเข้าประเทศ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าการเดินทางมาของกอส์น ถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเลบานอนไม่มีข้อตกลงความร่วมมือด้านยุติธรรมกับญี่ปุ่น
สำนักข่าว เอ็นเอชเค สื่อมวลชนของญี่ปุุ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นไม่พบบันทึกการเดินทางออกนอกประเทศของกอส์น พร้อมกับอ้างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเลบานอนผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนามรายหนึ่งระบุว่าพบเห็นบุคคลที่คล้ายคลึงเขา เดินทางเข้ามายังท่าอากาศยานนานาชาติเบรุต แต่ใช้ชื่อคนละชื่อ
จูนิชิโร ฮิโรนากะ ทนายความของกอส์น เผยว่าลูกความของเขายังมีพาสปอร์ตในครอบครองอีก3 เล่ม แต่เขาก็เพิ่งทราบข่าวกอส์น หลบหนีออกนอกประเทศจากรายงานข่าวของสื่อมวลชนในตอนเช้าวันนี้เช่นกัน และยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจมาก พร้อมกับตำหนิว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจให้อภัยได้
กระทรวงยุติธรรมระบุว่า ญี่ปุ่นมีสนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดนแค่กับเพียงสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ นั่นจึงหมายความว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะกดดันให้ กอส์น ยอมเดินทางกลับเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง
แม้เขาถูกจับในญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อกล่าวหาประพฤติผิดทางการเงิน แต่เขายังคงได้รับความนิยมอย่างสูงในเลบานอน โดยถึงขั้นมีบิลบอร์ดขนาดใหญ่เขียนว่า "เราทุกคนคือ คาร์ลอส กอส์น" ในการแสดงจุดยืนสนับสนุนเขา และก่อนหน้านี้รูปของเขาก็เคยปรากฏอยู่บนสแตมป์ไปรษณีย์ด้วย
กอส์น ลืมตาดูโลกในวงศ์ตระกูลชาวเลบานอนในบราซิล ก่อนย้ายมาเติบโตในเบรุต และคงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเลบานอนมาตลอด
ทั้งนี้ กอส์น ถูกจับกุมครั้งแรกในโตเกียว เมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ไม่นานหลังจากเครื่องบินส่วนตัวของเขาลงแตะพื้นสนามบิน เขาต้องเผชิญกับ 4 ข้อหา ในนั้นรวมถึงปกปิดรายได้และเสริมความมั่งคั่งแก่ตนเองผ่านการโอนเงินส่วนหนึ่งของกองทุนนิสสัน ไปยังบริษัทตัวแทนจำหน่ายในตะวันออกกลาง ซึ่งบริหารโดยคนรู้จักของเขา
นิสสันปลดเขาออกจากเก้าอี้ประธาน หลังผลการสืบสวนภายในพบว่าเขาประพฤติมิชอบต่างๆ นานา ในนั้นรวมถึงแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงขณะดำรงตำแหน่งซีอีโอ และโอนเงิน 5 ล้านดอลลาร์ จากกองทุนนิสสันไปยังบัญชีธนาคารหนึ่งซึ่งเขามีผลประโยชน์ร่วมอยู่
คดีนี้จุดชนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติต่อระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น ซึ่ง 99.9 ของบุคคลที่ถูกตั้งข้อหาทางอาญาจะถูกพิพากษาว่ามีความผิด และทนายความของจำเลยไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมระหว่างการสอบปากคำที่บางครั้งอาจใช้เวลายาวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน
เดิมที กอส์น ถูกปล่อยตัวออกมาในเดือนมีนาคม หลังวางเงินประกัน 9 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ถูกจับกุมตัวอีกครั้งตามข้อหาต่างๆที่เกี่ยวข้องในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา และจากนั้นก็ได้รับประกันตัวอีกครั้งในช่วงสิ้นเดือนเมษายน
ในเงื่อนไขประกันตัว ศาลแขวงโตเกียวสั่งสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวและการสื่อสารของเขา และกำหนดข้อจำกัดต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนีออกนอกประเทศหรือไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานว่าปัจจุบัน กอส์นและภรรยา พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในเลบานอน พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธยืนประจำการอยู่ภายนอก
สื่อญี่ปุ่นกระหน่ำด่า“กอส์น”ขี้ขลาด
ด้านสื่อญี่ปุ่น ที่ปกติมักจะสุขุมก็ได้ออกมาต่อว่า อดีตผู้บริหารนิสสัน ว่าเป็นคนขี้ขลาด
"การหลบหนีเป็นการกระทำขี้ขลาด ที่ลบหลู่ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น" โยมิอุริ ชิมบุร ระบุ และว่า การหลบหนีออกจากประเทศ กอส์นได้สูญเสียโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง และปกป้องเกียรติยศของเขา พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ศาล ทีมทนายของเขา และเจ้าหน้าที่ควบคุมคนเข้าเมือง ก็ควรถูกตำหนิในเรื่องนี้ด้วย
ขณะที่ โตเกียว ชิมบุน สื่อเสรีนิยม ก็ระบุว่า การกระทำของกอส์น เป็นการลบหลู่ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น
"จำเลยกอส์น ยืนยันว่าเขาหลบหนีการกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่การเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ขัดกับเงื่อนไขในการประกันตัว และลบหลู่ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น” โตเกียว ชิมบุน ระบุ
"มีความเป็นไปได้สูง ที่การพิจารณาคดีจะไม่เกิดขึ้น และเหตุผลของเขาที่ว่า เขาต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็ถูกเคลือบแคลงแล้วในตอนนี้"
บางสื่อตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจให้สิทธิประกันตัวกับเขา ซึ่งบางคนมองว่าไม่ปกติในเวลานั้น ก็อาจดูไม่ฉลาดในตอนนี้
คณะอัยการให้เหตุผลว่า ในตอนนั้น เขามีความเสี่ยงหนีออกนอกประเทศ แต่กอส์น พูดเองว่า เขาต้องการถูกไต่สวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ในตอนนั้น หนึ่งในทีมทนายความของเขา กล่าวว่า เขามีใบหน้าที่ใครก็จำได้ จนไม่น่ามีโอกาสที่เขาจะสามารถเล็ดรอดการตรวจจับไปได้
ซันเดย์ ชิมบุน สื่ออนุรักษนิยม ตั้งข้อสังเกตว่า คณะอัยการเชื่อว่าศาลถูกต่างชาติกดดันจนต้องยอมให้สิทธิประกันตัวแก่เขา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในสื่อโลก เกี่ยวกับ “ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น”ที่ปล่อยให้มีการกักขังที่ยาวนานและซ้ำซาก
เมื่อเดือนธ.ค.61 ศาลปฏิเสธคำขอของคณะอัยการ ที่จะให้ขยายการกักขังกอส์นออกไปอีก 10 วัน คำตัดสินใจที่น่าตกใจเนื่องจากการขยายเวลากักขังเป็นเรื่องที่แทบจะปกติ และความเป็นจริง กอส์นได้รับสิทธิประกันตัวสองครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งในเดือนมี.ค. และครั้งที่สองหลังเขาถูกจับกุมอีกครั้งในเดือนเม.ย.
การเดินทางออกจากญี่ปุ่นอย่างกะทันหันของ กอส์น ถือเป็นจุดพลิกผันล่าสุดของเรื่องอื้อฉาวที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี ซึ่งสั่นคลอนอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และกัดเซาะความเป็นพันธมิตรระหว่างนิสสัน มอเตอร์ โค กับ เรโนลต์ เอสพี ผู้ถือหุ้นใหญ่ของพวกเขา รวมถึงเพิ่มการพินิจพิเคราะห์ต่อระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น
"ตอนนี้ผมอยู่ในเลบานอน และจะไม่ยอมตกเป็นตัวประกันของระบบยุติธรรมขี้โกงของญี่ปุ่นอีกต่อไป ระบบยุติธรรมที่ตัดสินความผิดจากการสันนิษฐาน มีการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรง และปฏิเสธพื้นฐานสิทธิมนุษยชน" กอส์น วัย 65 ปีกล่าวในถ้อยแถลงสั้นๆ ที่เผยแพร่ในวันอังคาร (31ธ.ค.)
"ผมไม่ได้หลบหนีความยุติธรรม ผมหลบหนีความไม่ยุติธรรมและการตามประหัตประหารทางการเมือง ในที่สุดตอนนี้ผมก็สามารถสื่อสารได้อย่างอิสระกับสื่อมวลชน และตั้งตาคอยเริ่มต้นใหม่ในสัปดาห์หน้า"
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่โตเกียวเคยออกมายืนยันว่า ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่นมีมนุษยธรรมและ กอส์นได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ต้องสงสัยคนอื่นๆ ในขณะที่เขาเผชิญการพิจารณาคดีตามข้อกล่าวหาประพฤติผิดทางการเงิน ข้อกล่าวหาที่เขาปฏิเสธ
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า กอส์น ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือหลายสัญชาติทั้ง ฝรั่งเศส, บราซิล และเลบานอน สามารถจัดฉากหลบหนีออกจากญี่ปุ่นได้อย่างไร ในเมื่อเขาอยู่ภายใต้การสอดแนมอย่างเข้มข้นโดยเจ้าหน้าที่ภายใต้เงื่อนไขประกันตัว และถูกยึดพาสปอร์ตไว้
แหล่งข่าวระดับอาวุโสประจำกระทรวงการต่างประเทศเลบานอน ระบุว่า กอส์น เดินทางเข้าเลบานอนอย่างถูกกฎหมาย ผ่านกระบวนการด้านความมั่นคงตามปกติ ภายใต้พาสปอร์ตของฝรั่งเศส และใช้บัตรประจำตัวประชาชนเลบานอนของเขา
รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้ระบุว่า เขาเดินทางมาจากอิสตันบูล มาถึงกรุงเบรุตด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวในวันจันทร์ (30ธ.ค.) อย่างไรก็ตามกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส และกระทรวงต่างประเทศเลบานอน ต่างบอกว่าพวกเขาไม่ทราบกรณีแวดล้อมในการเดินทางของเขา
หน่วยงานด้านความมั่นคงของเลบานอนระบุว่า กอส์นจะไม่ถูกดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ต่อแนวทางที่เขาเดินทางเข้าประเทศ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าการเดินทางมาของกอส์น ถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเลบานอนไม่มีข้อตกลงความร่วมมือด้านยุติธรรมกับญี่ปุ่น
สำนักข่าว เอ็นเอชเค สื่อมวลชนของญี่ปุุ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นไม่พบบันทึกการเดินทางออกนอกประเทศของกอส์น พร้อมกับอ้างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเลบานอนผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนามรายหนึ่งระบุว่าพบเห็นบุคคลที่คล้ายคลึงเขา เดินทางเข้ามายังท่าอากาศยานนานาชาติเบรุต แต่ใช้ชื่อคนละชื่อ
จูนิชิโร ฮิโรนากะ ทนายความของกอส์น เผยว่าลูกความของเขายังมีพาสปอร์ตในครอบครองอีก3 เล่ม แต่เขาก็เพิ่งทราบข่าวกอส์น หลบหนีออกนอกประเทศจากรายงานข่าวของสื่อมวลชนในตอนเช้าวันนี้เช่นกัน และยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจมาก พร้อมกับตำหนิว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจให้อภัยได้
กระทรวงยุติธรรมระบุว่า ญี่ปุ่นมีสนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดนแค่กับเพียงสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ นั่นจึงหมายความว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะกดดันให้ กอส์น ยอมเดินทางกลับเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง
แม้เขาถูกจับในญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อกล่าวหาประพฤติผิดทางการเงิน แต่เขายังคงได้รับความนิยมอย่างสูงในเลบานอน โดยถึงขั้นมีบิลบอร์ดขนาดใหญ่เขียนว่า "เราทุกคนคือ คาร์ลอส กอส์น" ในการแสดงจุดยืนสนับสนุนเขา และก่อนหน้านี้รูปของเขาก็เคยปรากฏอยู่บนสแตมป์ไปรษณีย์ด้วย
กอส์น ลืมตาดูโลกในวงศ์ตระกูลชาวเลบานอนในบราซิล ก่อนย้ายมาเติบโตในเบรุต และคงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเลบานอนมาตลอด
ทั้งนี้ กอส์น ถูกจับกุมครั้งแรกในโตเกียว เมื่อเดือนมิถุนายน 2018 ไม่นานหลังจากเครื่องบินส่วนตัวของเขาลงแตะพื้นสนามบิน เขาต้องเผชิญกับ 4 ข้อหา ในนั้นรวมถึงปกปิดรายได้และเสริมความมั่งคั่งแก่ตนเองผ่านการโอนเงินส่วนหนึ่งของกองทุนนิสสัน ไปยังบริษัทตัวแทนจำหน่ายในตะวันออกกลาง ซึ่งบริหารโดยคนรู้จักของเขา
นิสสันปลดเขาออกจากเก้าอี้ประธาน หลังผลการสืบสวนภายในพบว่าเขาประพฤติมิชอบต่างๆ นานา ในนั้นรวมถึงแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงขณะดำรงตำแหน่งซีอีโอ และโอนเงิน 5 ล้านดอลลาร์ จากกองทุนนิสสันไปยังบัญชีธนาคารหนึ่งซึ่งเขามีผลประโยชน์ร่วมอยู่
คดีนี้จุดชนวนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติต่อระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น ซึ่ง 99.9 ของบุคคลที่ถูกตั้งข้อหาทางอาญาจะถูกพิพากษาว่ามีความผิด และทนายความของจำเลยไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมระหว่างการสอบปากคำที่บางครั้งอาจใช้เวลายาวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน
เดิมที กอส์น ถูกปล่อยตัวออกมาในเดือนมีนาคม หลังวางเงินประกัน 9 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ถูกจับกุมตัวอีกครั้งตามข้อหาต่างๆที่เกี่ยวข้องในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา และจากนั้นก็ได้รับประกันตัวอีกครั้งในช่วงสิ้นเดือนเมษายน
ในเงื่อนไขประกันตัว ศาลแขวงโตเกียวสั่งสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวและการสื่อสารของเขา และกำหนดข้อจำกัดต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนีออกนอกประเทศหรือไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานว่าปัจจุบัน กอส์นและภรรยา พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในเลบานอน พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธยืนประจำการอยู่ภายนอก
สื่อญี่ปุ่นกระหน่ำด่า“กอส์น”ขี้ขลาด
ด้านสื่อญี่ปุ่น ที่ปกติมักจะสุขุมก็ได้ออกมาต่อว่า อดีตผู้บริหารนิสสัน ว่าเป็นคนขี้ขลาด
"การหลบหนีเป็นการกระทำขี้ขลาด ที่ลบหลู่ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น" โยมิอุริ ชิมบุร ระบุ และว่า การหลบหนีออกจากประเทศ กอส์นได้สูญเสียโอกาสที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง และปกป้องเกียรติยศของเขา พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ศาล ทีมทนายของเขา และเจ้าหน้าที่ควบคุมคนเข้าเมือง ก็ควรถูกตำหนิในเรื่องนี้ด้วย
ขณะที่ โตเกียว ชิมบุน สื่อเสรีนิยม ก็ระบุว่า การกระทำของกอส์น เป็นการลบหลู่ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น
"จำเลยกอส์น ยืนยันว่าเขาหลบหนีการกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่การเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ขัดกับเงื่อนไขในการประกันตัว และลบหลู่ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น” โตเกียว ชิมบุน ระบุ
"มีความเป็นไปได้สูง ที่การพิจารณาคดีจะไม่เกิดขึ้น และเหตุผลของเขาที่ว่า เขาต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็ถูกเคลือบแคลงแล้วในตอนนี้"
บางสื่อตั้งข้อสังเกตว่า การตัดสินใจให้สิทธิประกันตัวกับเขา ซึ่งบางคนมองว่าไม่ปกติในเวลานั้น ก็อาจดูไม่ฉลาดในตอนนี้
คณะอัยการให้เหตุผลว่า ในตอนนั้น เขามีความเสี่ยงหนีออกนอกประเทศ แต่กอส์น พูดเองว่า เขาต้องการถูกไต่สวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ในตอนนั้น หนึ่งในทีมทนายความของเขา กล่าวว่า เขามีใบหน้าที่ใครก็จำได้ จนไม่น่ามีโอกาสที่เขาจะสามารถเล็ดรอดการตรวจจับไปได้
ซันเดย์ ชิมบุน สื่ออนุรักษนิยม ตั้งข้อสังเกตว่า คณะอัยการเชื่อว่าศาลถูกต่างชาติกดดันจนต้องยอมให้สิทธิประกันตัวแก่เขา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในสื่อโลก เกี่ยวกับ “ระบบยุติธรรมของญี่ปุ่น”ที่ปล่อยให้มีการกักขังที่ยาวนานและซ้ำซาก
เมื่อเดือนธ.ค.61 ศาลปฏิเสธคำขอของคณะอัยการ ที่จะให้ขยายการกักขังกอส์นออกไปอีก 10 วัน คำตัดสินใจที่น่าตกใจเนื่องจากการขยายเวลากักขังเป็นเรื่องที่แทบจะปกติ และความเป็นจริง กอส์นได้รับสิทธิประกันตัวสองครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งในเดือนมี.ค. และครั้งที่สองหลังเขาถูกจับกุมอีกครั้งในเดือนเม.ย.