เป็นธรรมดาของ “ช่วงปีใหม่” ที่ผู้บริหารจัดการต้นฉบับ...เขาต้องเร่งรัด รวบรัดให้ผู้เขียน หรือผู้ผลิตต้นฉบับทั้งหลาย ต้องส่งข้อเขียน ส่งต้นฉบับล่วงหน้า ประมาณ 2 ฉบับ 3 ฉบับ เป็นอย่างน้อย เพื่อให้สอดคล้องกับวันหยุด-ไม่หยุดในช่วงรอยต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ มันก็เลยส่งผลให้เป็นอะไรที่ออกจะเจ็บปวดรวดร้าว เอามากๆ กับการต้องนั่งจิ้มๆ ทิ่มๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ชนิด “ไข่ชา” กันไปเป็นข้างๆ...
แต่ทำไงได้...ในเมื่อมันเป็น “ภาระหน้าที่” ก็คงต้องดิ้นรนทุรนทุราย ไปตามมี-ตามเกิดนั่นแหล่ะทั่น ดังนั้นสำหรับช่วง 3 วันนับจากนี้ คือจันทร์ที่ 30 อังคารที่ 31 ธ.ค. 2562 ไปจนถึงพุธที่ 1 ม.ค. 2563 ก็เลยต้องขออนุญาตว่ากันแบบเป็น “มินิซีรีย์” เป็น “ไตรภาค” แบบชนิดรวดเดียว 3 ตอนจบ อะไรทำนองนั้น โดยจะไปหยิบเอาเรื่องราว “สวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกา มาลองแยกแยะ อัปเดตข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่ออาจช่วยให้พอเห็นภาพสถานะ บทบาทและอิทธิพลของผู้ที่ได้ชื่อว่า “ประมุขโลก” ช่วงนี้ และในอนาคตเบื้องหน้า ว่าจะอยู่-จะไป จะกลับมา “Great Again” ตามที่ปรารถนาและต้องการ ได้หรือไม่? เพียงใด?...
เพราะสำหรับ “แนวรบ” ด้านอื่นๆ...ไม่ว่าตะวันออกกลาง ทะเลจีนใต้ หรือแนวรบยุโรปตะวันออก ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาท่านจะเสียเปรียบ-ได้เปรียบ ก็ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับแนวรบที่อยู่แค่ “สวนหลังบ้าน” ของตัวเอง นั่นก็คืออาณาบริเวณพื้นที่ตั้งแต่อเมริกากลางลงมายันอเมริกาใต้ หรือที่เรียกๆ กันว่า “ละตินอเมริกา” หรือเลยไปถึงแถบๆ ทะเลแคริบเบียนเอาเลยก็ยังได้ ซึ่งบรรดาอาณาบริเวณพื้นที่เหล่านี้นี่แหละ ที่ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที...คุณพ่ออเมริกาท่านเคยให้ความสำคัญเอามากๆ ถึงขั้นป่าวประกาศมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหายังใส่กางเกงหูรูดโน่นเลย ห้ามมิให้มหาอำนาจรายใดเข้ามาแตะต้อง “West Hemisphere” โดยเด็ดขาด จนถูกเรียกขานกันในนาม “ลัทธิมอนโร” (Monroe Doctrine) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1823 หรือเกือบ 200 ปีที่แล้ว...
ดังนั้น...ไม่ว่าตั้งแต่ยุคไหน สมัยไหน การควบคุม บังคับให้บรรดาประเทศใน “West Hemisphere” ต้องเป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของคุณพ่ออเมริกาในแทบทุกเรื่อง ทุกราว จึงกลายเป็นตัวสร้าง “ลักษณะพิเศษ” ให้กับบรรดาประเทศในภูมิภาคนี้ ชนิดหาทางออก-ทางไปกันไม่เจอมาโดยตลอด ไม่ว่าจะหันไปหาแนวทางแบบ “สังคมนิยม” “คอมมิวนิสต์” “ทุนนิยมเสรี” “เสรีนิยมใหม่” ไปจนการประดิษฐ์ คิดค้นแนวทางแบบแปลกๆ เช่นเอา “สังคมนิยม” มาผนวกรวมกับ “ศาสนานิยม” กลายเป็น “ทฤษฎีเทวาวิทยาแห่งการปลดปล่อย” อะไรไปโน่น แต่สุดท้าย...ก็ยังคงต้องเป็น “ลูกไก่ในกำมือ” ของคุณพ่ออเมริกาอยู่ดี แค่ดูจากตัวเลขสถิติของ “ธนาคารโลก” เมื่อช่วง 20 กว่าปีที่แล้ว ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า “สินค้าส่งออก” ทั้งหมด ทั้งมวลของบรรดาประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย จำนวนถึง 57 เปอร์เซ็นต์ ต้องส่งไปยังอเมริกา ส่วน “สินค้าสั่งเข้า” ทั้งหมดทั้งมวลของละตินอเมริกาทั้งแถบ ไม่น้อยกว่า 48 เปอร์เซ็นต์ต้องนำเข้ามาจากอเมริกา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...
ภายใต้บทบาทและอิทธิพลเช่นนี้ การดิ้นรนของประเทศในละตินอเมริกาโดยส่วนใหญ่...อย่างมากก็ได้แต่ “ขี้รดใส่มือ” อเมริกากันไปเป็นพักๆ โดยถ้าหากคุณพ่ออเมริกาเกิดเหม็นขี้ หรือเหม็นมือขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะบีบ พร้อมที่จะขยี้ให้แหลกคามือตัวเลข สถิติ ที่รัฐบาลอเมริกาหรือหน่วยงาน “ซีไอเอ” เข้าไปโค่นล้ม เปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ “รัฐประหาร” ประเทศต่างๆ ในละตินอเมริกา จึงถูกระบุไว้ว่า มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 50 ครั้งเป็นอย่างน้อย นับแต่ปี ค.ศ. 1945 หรือนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โดยเฉพาะช่วง “สงครามเย็น” ที่มหาอำนาจอย่าง “โซเวียตรัสเซีย” พยายามเข้าไปยุ่มย่ามใน “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกาอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ...
แต่เมื่อสงครามเย็นยุติ และอภิมหาอำนาจอย่าง “โซเวียตรัสเซีย” ได้ล่มสลาย แตกกระจายเป็นสิบๆ ประเทศไปแล้วนั่นเอง รัฐบาลอเมริกันนับจากนั้นเป็นต้นมา...ก็ดูๆ จะลืมๆ หรือไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับ “สวนหลังบ้าน” ของตัวเองมากมายสักเท่าไหร่ หันไปให้ความสนใจ ความสำคัญกับอาณาบริเวณที่อยู่ไกลไปจากบ้านของตัวเอง เลยไปถึง “ยูเรเชีย” หรือแถบยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางไปโน่น โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดกรณี “9/11” หรือเกิดการเปิดฉาก “สงครามกับการก่อการร้าย” และภายในช่วงจังหวะนี้นี่เอง ที่ได้ทำให้ “พญามังกรจีน” แหวกว่าย มุดดำ ข้ามน้ำ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาโผล่ขึ้นที่สวนหลังบ้านของอเมริกา อย่างเป็นระบบและกิจการ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา...
การปรากฏตัวของ “พญามังกรจีน” ในบรรดาประเทศละตินอเมริกา...อย่างเงียบเชียบ ลุ่มลึก และอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนั้น นับวันได้กลายเป็น “ปัญหา” ระดับที่ทำให้บรรดานักยุทธศาสตร์ในอเมริกา ออกอาการขนหัวลุกกันไปเป็นแถบๆ เพราะไม่ได้เป็นเพียงแค่การก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของตัวเลขสถิติในเรื่องการค้า การขาย การลงทุน แบบพลิกหน้ามือ-เป็นหลังเท้ากันเห็นๆ เช่นตัวเลขสินค้าประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ที่บรรดาประเทศละตินอเมริกาเคยต้อง “นำเข้า” จากคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด แต่ในช่วงปี ค.ศ. 2016 ว่ากันว่า เกือบ 91 เปอร์เซ็นต์ล้วนได้กลายเป็น “สินค้าจีน” หรือ “เมด อิน ไชน่า” กันไปเป็นแผงๆ ไม่ต่างไปจากการ “ส่งออก” สินค้าต่างๆ ของประเทศละตินอเมริกาทั้งหมดทั้งมวล ที่เคยส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเกือบครึ่งต่อครึ่ง แต่หลังๆ มานี้...เกือบ 72 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าส่งออกประเภทถั่วเหลือง ทองแดง เหล็ก น้ำมัน ฯลฯ ต่างถูกส่งไปยังประเทศจีน ชนิดไล้เหลี่ยวๆ กันไปเป็นล็อตๆ...
แต่สิ่งที่ยังน่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น...ก็คือนอกเหนือไปจากความเปลี่ยนแปลงในด้านตัวเลขสถิติ การค้า การขาย การลงทุนแล้ว การที่ประเทศซึ่งเคยถูกจัดอยู่ในระดับ “ประเทศกำลังพัฒนา” อย่างจีน สามารถดิ้นรนหาทางออก ทางไป จนเกิดการยกระดับตัวเอง นับจากปี ค.ศ. 1978 เป็นต้นมา ให้กลายมาเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือมีการเติบโตของตัวเลขจีดีพีปีละ 10 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยมาโดยตลอด และสามารถ “ปลดปล่อย” บรรดาชาวจีนจำนวนไม่ต่ำกว่า 850 ล้านคน ซึ่งเคยตกอยู่ในสภาพมีมาตรฐานชีวิตต่ำกว่าความยากจน ไม่ต่างไปจากบรรดาชาวละตินอเมริกาทั้งหลาย ให้พ้นไปจากความยากจน หรือกลายเป็น “ชนชั้นกลาง” ที่มีรายได้ระดับ 16,000-34,000 ดอลลาร์ต่อคน-ต่อปี แถมยังกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้า ทันสมัย ในด้านเทคโนโลยี ชนิดสามารถกลายเป็น “คู่แข่ง” หรือเป็นผู้ท้าทายต่ออำนาจ อิทธิพลของคุณพ่ออเมริกาได้แบบถึงไหนก็ถึงกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
โดยอาศัยแนวทางที่เรียกว่า “ทุนนิยมเผด็จการ” หรือ “ทุนนิยมที่ควบคุมและกำกับโดยรัฐ” ก็แล้วแต่จะเรียก อันเป็นสิ่งที่ต่างไปจากแนวทางเดิมๆ ที่บรรดาชาวละตินอเมริกาทั้งหลาย เคยนำมาใช้แบบมั่วๆ กันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยมเสรี เสรีนิยมใหม่ สังคมนิยมเบ็ดเสร็จ หรือสังคมนิยมผสมศาสนาแบบ “เทววิทยาแห่งการปลดปล่อย” ฯลฯ แต่ก็ยังหาทางออก-ทางไปกันไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้ ดังนั้น...การปรากฏตัวของ “พญามังกรจีน” เที่ยวนี้ จึงทำให้ใครต่อใครในอเมริกา “หนาวว์ว์ว์” กันไปเป็นแถบๆ เพราะมันอาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงระดับลึกลงไปถึง “แนวทาง” ของแต่ละประเทศเอาเลยก็ว่าได้ ความจำเป็นที่ต้องหันมา “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” กันอย่างเป็นระบบ เป็นกิจการ จึงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งจะปัด จะกวาดกันไปในแนวไหน กวาดได้ กวาดไม่ได้ อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องลากยาวไปอีก 2-3 ตอนนับจากนี้...