วันนี้...คงต้องลองหันไปสำรวจตรวจสอบ กระแสลมแห่ง “บูรพาภิวัฒน์” ที่กำลังโบกสะบัดพัดไหวไป-มา อยู่แถวๆ เมือง “เฉิงตู” มณฑลเสฉวน ด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน กันดูสักหน่อย เพราะเมื่อช่วงวันอังคาร (24 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ณ เมืองแห่งนี้ ได้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำ 3 ฝ่าย คือผู้นำจีน นายกรัฐมนตรี “หลี่ เค่อเฉียง” ผู้นำเกาหลีใต้ ประธานาธิบดี “มุน แจ-อิน” และผู้นำญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรี “ชินโสะ อาเบะ” ชนิดเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนจีน หรือโรงเรียนใดๆ ก็แล้วแต่...
แม้ว่าการประชุมที่ว่า...จะถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือถือเป็นการประชุมพบปะครั้งที่ 8 เข้าไปแล้ว แต่ภายใต้ฉากสถานการณ์ที่มันไม่ถึงกับ “ธรรมดา” มากมายสักเท่าไหร่ คือเป็นสถานการณ์ที่ประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างจีนกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก อย่างอเมริกา ต้องไล่ฟัด ไล่บี้ แค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่องกันมาเป็นปีๆ ใน “สงครามการค้า” อันทำให้โลกทั้งโลกต้องพลอย “ซวย” ไปด้วยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แถมบางครั้งบางครา คมเขี้ยว คมเล็บ ของคุณพ่ออเมริกา ยังสะบัดมาโดนประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก อย่างญี่ปุ่น และประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจอันดับ 12 ของโลก อย่างเกาหลีใต้ ชนิดอาจโดน “บาดทะยัก” รับประทานเอาเลยก็ไม่แน่!!!
คือไม่ใช่แต่เฉพาะถูกรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ขึ้นอัตราภาษีศุลกากรสินค้านำเข้า ของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้หลายต่อหลายรายการมาก่อนหน้านั้น แม้จะไม่หนักหนาสาหัสเท่าจีนก็ตามที แต่ล่าสุด...ยังมีรายการ “เรียกค่าคุ้มครอง” เพิ่มเติมขึ้นไปอีกต่างหาก เกาหลีใต้นั้น...โดยเรียกค่าคุ้มครอง หรือค่าใช้จ่ายให้กับฐานทัพอเมริกาและทหารอเมริกันจำนวน 28,500 นาย จากที่เคยจ่ายๆ อยู่ประมาณปีละ 1,040 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็นถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว ขณะที่ญี่ปุ่นอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับฐานทัพอเมริกาและทหารอเมริกัน จำนวน 5,400 นาย ที่อเมริกาเองนั่นแหละ ยัดเยียดเอาไว้ในญี่ปุ่นมาตั้งแต่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จากที่เคยจ่ายๆ ประมาณปีละ 2,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเป็น 8,000 ล้านดอลลาร์ หรือตกประมาณเกือบๆ 4 เท่าตัว...
ภายใต้ฉากสถานการณ์ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่มันเลยทำให้การประชุมพบปะระหว่างผู้นำ 3 ฝ่าย หรือระหว่างจีน-ญี่ปุ่น-และเกาหลีใต้คราวนี้ จึงออกจะ “ไม่ธรรมดา” อยู่มิใช่น้อย อีกทั้งก่อนหน้านั้นไม่นาน...ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ก็เพิ่งหันมาไล่ฟัด ไล่บี้ งับขา งับน่อง กันในเรื่องการค้า เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ถูกรื้อมาทวงถามแบบแค้นสวาทต้องทวงคืนอะไรทำนองนั้น อันทำให้การพูดจาหารือ การพบปะเผชิญหน้าระหว่างกันและกัน อาจเกิดอาการ “กร่อย” เอาง่ายๆ ชนิดแม้แต่ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะ “ตัวกลาง” อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ยังไม่คิดจะโดดเข้ามาประสานรอยแยก รอยร้าวใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย หนักไปทางปล่อยให้เป็นเรื่องญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ไปหาทางออกกันเอาเอง...
แต่ด้วยการโดดเข้ามาจูงมือถือแขนของจีน...โดยการจัดประชุมผู้นำ 3 ฝ่ายในคราวนี้ หลังการพบปะเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ในช่วงเวลาประมาณ 15 นาที ของนายกรัฐมนตรี “ชินโสะ อาเบะ” แห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดี “มุน แจ-อิน” ของเกาหลีใต้ โดยสีสันบรรยากาศดูๆ จะออกมาทางคล้ายๆ บรรยากาศ “สัปปายะสภาสถาน” ในบ้านเรานั่นแหละทั่น คือออกไปทาง “จูบปาก” โดยไม่จำเป็นต้องมีใคร “จัดฉาก” นับถอยหลัง 5-4-3-2-1 เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย หรือ 3 ฝ่าย...ต่างเห็นพ้องต้องกันในเรื่องหลักๆ ที่น่าสนใจเอามากๆ อยู่ประมาณ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก...ก็คือเรื่องที่ทั้งจีน-ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ล้วนเห็นพ้องที่จะส่งเสริมสนับสนุน ให้กระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพ หรือการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ ยังคงดำเนินต่อไป ภายใต้สภาวะที่เกาหลีเหนือพยายามเรียกร้องให้อเมริกายกเลิกการแซงชั่นประเทศตัวเอง เพื่อที่จะยกระดับการเจรจาให้คืบหน้าไปกว่านี้ และภาวะที่จีนและรัสเซีย เพิ่งยื่นข้อเรียกร้องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ให้ยกเลิกการแซงชั่นเกาหลีเหนือโดยไว...
คือแม้ว่า...เกาหลีใต้กับญี่ปุ่น จะไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจน ว่าเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการแซงชั่นเกาหลีเหนือ หรือไม่ได้แสดงท่าทีว่าโน้มไปทางจีนและรัสเซีย หรือไปทางอเมริกากันแน่ แต่ภายใต้โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจในคาบสมุทรเกาหลี ที่ไม่ว่าจีน-รัสเซีย-เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ รวมไปถึงญี่ปุ่น ต่างลงทุนลงแรงกันไปมิใช่น้อย การสนับสนุนให้กระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือดำเนินต่อไป ก็คือการแสดงออกให้เห็นโดยคร่าวๆ ว่า ไม่ว่าจะโดยเกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ก็ตาม ต่างก็ไม่ต้องการ “Proxy crisis” (ขออนุญาตยืมคำศัพท์ของ “บิ๊กแดง” มาใช้ชั่วคราว) คือไม่ต้องการเป็น “ตัวแทน” ในการก่อ “สงคราม” ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว...
ส่วนอีกเรื่อง...ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือการระบุใน “แถลงการณ์ร่วม” ของทั้ง 3 ฝ่าย ด้วยข้อความที่ว่า “ประเทศทั้ง 3 จะดำรงความมุ่งมั่นในอันที่บรรลุเป้าหมายแห่งระบบการค้าเสรี ที่เป็นไปด้วยความยุติธรรม และไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีความโปร่งใส มีสภาพแวดล้อมทางการค้าและการลงทุนที่มีเสถียรภาพและสามารถคาดหมายได้ รวมทั้งการผดุงไว้ซึ่งการเปิดกว้างทางการตลาด...ฯลฯ” พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าแปลจีนเป็นไทย แปลญี่ปุ่นเป็นไทย แปลเกาหลีใต้เป็นไทย หรือแปลไทยเป็นไทยก็แล้วแต่โดยเนื้อหาสาระของคำพูด คำจา ใน “แถลงการณ์ร่วม” ที่ว่านี้ ก็คือการแสดงออกถึงการต่อต้าน คัดค้าน การป้องกันและกีดกันทางการค้า ต่อต้านลัทธิทำตามอำเภอใจ ที่กำลังกลายเป็นนโยบายทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การเงิน การลงทุน ฯลฯ ของคุณพ่ออเมริกาในยุคนี้ หรือในยุค “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง...
การเห็นพ้องต้องกันในเรื่องหลักๆ 2 เรื่องที่ว่านี่เอง...มันเลยทำให้ “กระแสบูรพาภิวัฒน์” ดูจะก่อรูป ก่อร่างขึ้นมาให้เห็นรางๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “จินตนาการ” ที่ไร้รูป ไร้ร่าง อันเนื่องมาจากรอยแตก รอยแยก ที่ถูกสร้าง ถูกสะสมเอาไว้แต่เมื่อครั้งอดีต และมักถูกนำมาใช้เป็น “เครื่องมือ” สำหรับบรรดามหาอำนาจตะวันตก ในการ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ผู้คนพลเมืองในประเทศต่างๆ ตลอดทั่วภูมิภาคเอเชีย ให้ต้องกลายเป็น “อาณานิคม” ของตะวันตกมาโดยตลอด เพราะแค่การละวางเรื่องของอดีตเอาไว้ก่อน หันมาร่วมมือ ร่วมใจ ไปมองยังอนาคตเบื้องหน้าเป็นสำคัญ เฉพาะแค่ 3 ประเทศ คือจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ขนาด “GDP” ปาเข้าไประดับ 20 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลกเอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งเมื่อทั้ง 3 ประเทศ ต่างเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของกลุ่มประเทศ “RCEP” (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่มีอินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ 10 ประเทศอาเซียนร่วมอยู่ด้วย ที่มีขนาด “GDP” รวมกันถึงระดับ 1 ใน 3 ของ “GDP” โลก ย่อมต้องส่งผลให้ “กระแสลมตะวันออก” หรือกระแสบูรพาภิวัฒน์ ย่อมต้องพัดแรงแซงโค้ง สามารถก่อให้เกิด “ศตวรรษแห่งเอเชีย” เป็นจริง-เป็นจัง ขึ้นมาได้ไม่ยากส์ส์ส์...