เอเจนซีส์ – จีนเป็นเจ้าภาพการประชุมซัมมิตในวันอังคาร (24 ธ.ค.) ร่วมกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เพื่อนบ้านสองชาติที่มีกรณีพิพาทกันอยู่ โดยทั้งสามชาติประกาศจะร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนการพูดคุยระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ภายหลังการประชุมซัมมิตไตรภาคีของผู้นำทั้ง 3 ซึ่งจัดขึ้นที่นครเฉิงตูของจีน
การเจรจาปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลีอยู่ในภาวะชะงักมานานหลายเดือน ขณะที่ผู้นำ คิม จองอึน ขีดเส้นตายปลายปีนี้ให้สหรัฐฯ เลิกใช้นโยบายเป็นปรปักษ์ มิเช่นนั้นโสมแดงอาจเลือก “เดินในเส้นทางใหม่” ซึ่งอาจหมายถึงการกลับไปทดสอบระเบิดนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกลอีกครั้ง หลังจากที่งดเว้นมาตั้งแต่ปี 2017
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และผู้นำ คิม เคยพบปะตัวต่อตัวมาแล้วถึง 3 ครั้งตั้งแต่เดือน มิ.ย. ปี 2018 เป็นต้นมา ทว่าการเจรจากลับไม่ให้ผลใดๆ ที่เป็นรูปธรรม ขณะที่โสมแดงเรียกร้องให้นานาชาติเริ่มต้นด้วยการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรลงเสียก่อน
ภายหลังการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ของจีน และนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่นที่นครเฉิงตู ผู้นำเกาหลีใต้ระบุทั้ง 3 ชาติเห็นพ้องต้องกันว่าการสื่อสารอย่างใกล้ชิดคือสิ่งจำเป็น
“เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น เราทั้ง 3 ประเทศเห็นตรงกันว่าจะต้องมีการพูดคุยและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อนำไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์ และสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี” มุน ระบุในงานแถลงข่าวร่วม
“เรามีความเห็นร่วมกันว่า สันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีถือเป็นผลประโยชน์ร่วมของทั้ง 3 ชาติ และตัดสินใจว่าจะทำงานร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจว่าการปลดนิวเคลียร์และสันติภาพจะดำเนินต่อไปได้ผ่านการเจรจาที่รวดเร็วฉับไวระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ”
ด้านนายกฯ หลี่ ระบุว่า ผู้นำเอเชียตะวันออกทั้ง 3 ชาติย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาทางออกให้แก่ปัญหาเกาหลีเหนือผ่านเวทีพูดคุย ซึ่งทั้ง 3 ฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน
จีนถือเป็นมหามิตรเพียงรายเดียวที่คอยค้ำจุนเกาหลีเหนือทั้งในทางเศรษฐกิจและการทูต ทว่าปักกิ่งเองก็ไม่พอใจที่โสมแดงดื้อรั้นทดสอบขีปนาวุธและนิวเคลียร์อยู่เนืองๆ
สตีเฟน บีกัน ผู้แทนพิเศษสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเกาหลีเหนือ ได้เข้าพบนักการทูตอาวุโสของจีน 2 คนระหว่างไปเยือนปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และก่อนหน้านั้นก็ได้มีการหารือกับเจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ท่ามกลางความพยายามของบรรดานักการทูตที่จะยับยั้งการเผชิญหน้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ
จีนและรัสเซียได้เสนอร่างมติต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยขอให้ยูเอ็นยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือบางส่วนเพื่อให้การเจรจาระหว่างโสมแดงและวอชิงตันเดินหน้าต่อไปได้ ทว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะกล้าแย้งจุดยืนของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศคัดค้าน และมีสิทธิ์ที่จะวีโตร่างมตินี้ได้
การที่จีนเป็นเจ้าภาพการประชุมเพื่อนบ้านสองชาติที่มีกรณีพิพาทกันอยู่ นับเป็นโอกาสอันดีในการขยายอิทธิพลทางการทูต ขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งล้วนเป็นพันธมิตรสำคัญของอเมริกาในเอเชีย กำลังหาทางปรองดองกันเพื่อจัดการเกาหลีเหนือที่ขู่มอบ “ของขวัญคริสต์มาส” ซึ่งนักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่อเมริกันเชื่อว่า หมายถึงการทดสอบขีปนาวุธ ถ้าวอชิงตันไม่มีข้อเสนอใหม่ที่น่าสนใจภายในสิ้นปีนี้
การประชุมที่จัดขึ้นในวันอังคาร (24 ธ.ค.) ที่เมืองเฉิงตู ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือนที่ประธานาธิบดีมุน แจ-อินของเกาหลีใต้ ได้พบกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น ขณะที่ความสัมพันธ์สองชาติเพื่อนบ้านคู่นี้สั่นคลอนอย่างหนักจากปัญหาการค้าและข้อพิพาทเกี่ยวกับการยึดครองคาบสมุทรเกาหลีของญี่ปุ่นระหว่างปี 1910-1945
อเมริกาเรียกร้องบ่อยครั้งให้เกาหลีใต้และญี่ปุ่นฝังความบาดหมางจากเหตุการณ์ในอดีต เนื่องจากกังวลว่า ความขัดแย้งนี้จะทำให้สถานการณ์ทางการทูตในเอเชียยิ่งซับซ้อน อย่างไรก็ดี วอชิงตันไม่มีท่าทีต้องการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยโดยตรง ผิดกับจีนที่เล็งใช้การประชุมที่เฉิงตูเติมเต็มสุญญากาศนี้
ฮารูโกะ ซาโตะ ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองจีนของมหาวิทยาลัยโอซากา ระบุว่า ในฐานะมหาอำนาจแห่งภูมิภาค ปักกิ่งหวังแสดงสถานะทางการทูตต่อชาวโลกด้วยการนำผู้นำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มานั่งหารือบนโต๊ะเดียวกัน ตอกย้ำว่าจีนกำลังให้ความสำคัญกับสถานะทางการทูตของตนเองในเอเชีย
ก่อนออกเดินทางไปจีน อาเบะให้สัมภาษณ์ว่า สัมพันธภาพกับเกาหลีใต้ยังคงตึงเครียดอย่างมาก แต่ระหว่างการประชุมผู้นำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ถ่ายรูปร่วมกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แถมอาเบะยังบอกว่า ต้องการปรับปรุงความสัมพันธ์กับโซลและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแบบตรงไปตรงมา ทางด้านทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้รายงานคำพูดของมุนที่กล่าวว่า สองประเทศเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่สุดในแง่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่ไม่อาจแยกกันได้
ความสัมพันธ์สองชาติเลวร้ายลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลังศาลเกาหลีใต้มีคำสั่งออกมาหลายระลอกให้บริษัทญี่ปุ่นจ่ายชดเชยเหยื่อแรงงานในช่วงสงคราม ทำให้โตเกียวไม่พอใจและยืนกรานว่า ได้ทำสนธิสัญญายุติปัญหาเหล่านั้นไปแล้วตั้งแต่ปี 1965