ไม่ว่าจะแสดงท่าทีผยอง เชื่อมั่นในตัวเอง และยังคงรักษาความห้าวกร้าวอย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันว่าเป็นผู้นำทำเนียบขาวคนที่ 3 ซึ่งถูกถอดถอนในกระบวนการโดยสมาชิกสภาคองเกรส
ด้วยน้ำเสียงโอหัง ยกตัวเองสูงส่ง ทรัมป์อ้างว่ากระบวนการถอดถอนเทียบได้กับการตรึงกางเขนพระเยซู ความร้ายกาจเหมือนฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกญี่ปุ่นโจมตี และเหมือนตั้งศาลเตี้ยในการล่าแม่มดในเมืองซาเล็ม รัฐแมสซาชูเซตส์ ในปี 1692-1693
ทรัมป์เผชิญความอัปยศด้วยข้อกล่าวหาว่าใช้อำนาจทางมิชอบเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง และขัดขวางกระบวนการของสภาคองเกรส พรรคเดโมแครตซึ่งกุมเสียงข้างมากในสภาได้มีมติถอดถอน ฝ่ายพรรครีพับลิกันลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วย
ในประเด็นแรกฝ่ายเดโมแครตชนะด้วยคะแนน 230 ต่อ 197 แต่ในประเด็นที่ 2 ฝ่ายเดโมแครตได้ 229 ต่อ 198 เพราะมีงูเห่าเดโมแครต 1 ตัวเลื้อยไปสนับสนุนพรรครีพับลิกัน แต่ถึงอย่างไร คะแนนฝ่ายชนะก็ท่วมท้นแบบพวกใครพวกมัน
ไม่ต่างจากการเมืองกำลังด้อยพัฒนาล้าหลังของบ้านเราและอีกหลายบ้านอื่นๆ เพราะเป็นการเมืองระบบพรรค ความผิดถูกไม่ใช่เรื่องสำคัญ พรรคต้องมาก่อน
นักวิเคราะห์มองเห็นความต่างในพฤติกรรมต่อกระบวนการถอดถอนระหว่างผู้นำทำเนียบขาว 3 คนคือ ริชาร์ด นิกสัน ของพรรครีพับลิกัน และบิล คลินตันของพรรคเดโมแครต จะเห็นได้ชัดถึงความต่างด้านทัศนคติ และปฏิกิริยาตอบรับ
หลังจากการโหวต ทรัมป์ไปประกาศให้ผู้สนับสนุนในช่วงการไปรณรงค์หาเสียงในรัฐมิชิแกนด้วยท่าทีโอหังว่า “ดูแล้วไม่เห็นจะทำให้รู้สึกว่ามีการถอดถอนเลย” แสดงให้เห็นความไม่สำนึกว่าตัวเองกระทำอะไรผิด ไม่ยอมรับผิด เป็นอย่างนี้ตลอด
ทรัมป์จึงถูกมองว่าเป็นจอมอหังการ ไร้จิตสำนึกด้านความละอาย สามารถโกหกหน้าตาย และโกหกได้วันละหลายครั้ง แม้จะถูกจับได้ว่าให้ข้อมูลเท็จ ครึ่งจริงครึ่งเท็จ หรือโกหกบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ทรัมป์ไม่รู้สึกว่าจะต้องแคร์ ไม่สนใจใคร
เมื่อนิกสันและคลินตันเผชิญกับการไต่สวน ทั้งคู่ยินดีให้ความร่วมมือแม้ในช่วงแรกนิกสันออกอาการขัดขืนไม่ยอมให้หลักฐาน เอกสารต่อทางการ ผลสุดท้าย เมื่อมีแรงกดดันจากสาธารณะ ก็ยอมส่งมอบเทปบันทึกการสนทนาในคดีวอเตอร์เกต
และนิกสันยอมให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและเจ้าหน้าที่รัฐไปให้ปากคำในฐานะพยานในกระบวนการไต่สวน แต่การส่งมอบเทปต้องให้ศาลสูงออกคำสั่ง และเป็นหลักฐานมัดตัวว่านิกสันได้กระทำในสิ่งที่ถูกกล่าวหา และในประเด็นไต่สวน
ส่วนคลินตันนั้น ยินดีให้ความร่วมมือให้ปากคำต่อคณะไต่สวน เพียงแต่ได้กำหนดเงื่อนไขก่อนการไปเข้าสู่กระบวนการ ที่สำคัญคือทั้งนิกสันและคลินตันแสดงให้เห็นความสำนึกผิด และแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง
โดยเฉพาะนิกสันนั้นได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง กล่าวคำขอขมาต่อประชาชนว่ารู้สึกเสียใจอย่างลึกล้ำต่อความเสียหายที่อาจได้เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองในหลายเหตุการณ์ ซึ่งเป็นผลให้นำไปสู่การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง
และนิกสันยังบอกอีกว่า ถ้าการตัดสินใจจากการประเมินบางเรื่องอาจผิด หรือผิดในบางเรื่อง ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในขณะที่ตนเองตัดสินใจนั้นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง และเป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับประเทศ
ส่วนคลินตันนั้นก็ได้กล่าวคำขอขมาประชาชนหลังจากหลุดพ้นจากการถูกถอดถอน กลับไปทำหน้าที่ผู้นำทำเนียบขาวอย่างเดิม ทิ้งความอาฆาตไว้เบื้องหลัง ไม่คุมแค้นใคร หรือกระบวนการไต่สวนถอดถอนอย่างไรทั้งสิ้น จบเป็นจบนั่นเลย
และนั่นก็ทำให้เรื่องจบอย่างสมบูรณ์ ความฉาวโฉ่ของเรื่องก็สิ้นสุด ที่สำคัญก็คือได้รักษากระบวนการไต่สวน การรักษาดุลอำนาจตรวจสอบไว้ได้ และหน้าที่รับผิดชอบในระบบกระบวนการไต่สวนของสภาคองเกรสและเกียรติภูมิไม่เสียหาย
แต่กับโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นคนละเรื่อง หนังคนละม้วนโดยสิ้นเชิง!
ตลอดเวลาตั้งแต่การเริ่มกระบวนการไต่สวนโดยสภาคองเกรส และ 2 กรรมาธิการ ในด้านข่าวกรองและกระบวนการยุติธรรม ทรัมป์ได้แสดงท่าทียโส จองหอง ถือดี ไม่ยอมรับกระบวนการโดยตลอด ทั้งห้ามเจ้าหน้าที่ไปให้ปากคำ
ทรัมป์ไม่ยอมส่งเอกสารหลักฐานใดๆ ให้กรรมาธิการแม้แต่ชิ้นเดียว และสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ระดับสำคัญของทำเนียบขาวไปให้การเป็นพยาน พวกกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ คนพรรครีพับลิกันอ้างว่าหลักฐานในข้อกล่าวหาทรัมป์เบาบางไร้น้ำหนัก
ถ้าหลักฐานไม่ได้เรื่องจริง ทรัมป์น่าจะให้ความร่วมมือโดยเอาของจริงที่สามารถหักล้างหลักฐานของฝ่ายพรรคเดโมแครตไปแก้ต่างพิสูจน์ให้ตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีพลังในการต่อสู้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวตนว่าไม่มีมลทินตามข้อกล่าวหา
เมื่อเรื่องต้องถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งพรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมาก แทบไม่ต้องสงสัยว่าทรัมป์จะได้รับการโหวตให้หลุดจากข้อกล่าวหา และกระบวนการถอดถอนแน่นอน และทรัมป์ยังย้ำเสมอว่ากระบวนการนี้เป็น “ความจอมปลอม”
นอกจากไม่แสดงความเสียใจ ไม่ยอมรู้สึกสำนึก ไม่ขอโทษ ทรัมป์ยังแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นคนเจ้าแค้น เจ้าอาฆาต และจ้องรอจังหวะเพื่อ “เอาคืน” ศัตรูทางการเมืองถ้ามีโอกาส ที่น่ากลัวคือจะยังผยอง มุ่งใช้อำนาจในทางที่ผิดอีกต่อไป
ถ้าทรัมป์ยังชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นผู้นำทำเนียบขาวอีกสมัย คนที่รู้จักทรัมป์ดี และพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ คงรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าหายนะอะไรจะเกิด