ปัญญาภิวัฒน์
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ในที่สุดความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ก็ไหลทะลักล้นออกจากการเมืองในโลกแห่งรัฐสภาเข้าสู่การเมืองในโลกแห่งท้องถนน ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากเปิดสภาผู้แทนราษฎร ความหวังที่จะจำกัดขอบเขตความขัดแย้งให้อยู่ภายในสภาผู้แทนราษฎรค่อย ๆ เลือนรางลงไป เมื่อ “การชุมนุมฟ้าแลบ” (flash mob) เกิดขึ้นในกลางเดือนธันวาคม และในเดือนต่อไป “การวิ่งไล่ลุง” ก็จะเกิดขึ้น และอาจลามเป็นกระแสที่ทำให้ลุงหลายคน ต้องกลับไปเลี้ยงหลานก็ได้
การชุมนุมฟ้าแลบครั้งแรกแห่งยุคสมัยของสังคมไทยเกิดขึ้นจากการนัดหมายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ซึ่งต้องหลุดพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญกรณีถือครองหุ้นสื่อ และเกิดขึ้นไม่นานภายหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดสิทธิการเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคและให้ยุบพรรคจากกรณีการที่พรรคกู้เงินจากนายธนาธร
การนัดชุมนุมของนายธนาธรเป็นการนัดล่วงหน้าก่อนการชุมนุมเพียงไม่กี่วัน เรียกว่านัดแบบฟ้าแลบ เป็นการตัดสินใจที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองไม่น้อย และคงเหนือความคาดหมายของผู้ครองอำนาจรัฐด้วยเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้าการชุมนุมฟ้าแลบ ทิศทางการประเมินเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหม่เพื่อแสดงออกถึงความไม่ทน ต่อต้าน และขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ หลายฝ่ายเห็นคล้ายกันว่า คงไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ หรือหากมี ผู้เข้าร่วมชุมนุมคงมีจำนวนน้อยและไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อรัฐบาล
เหตุผลของการประเมินในทำนองนี้มีสองประการหลักด้วยกัน อย่างแรกคือมีการมองว่าคนไทยยังคงเข็ดขยาดและเบื่อหน่ายกับการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยมากในช่วงก่อนหน้าการรัฐประหารปี 2557 เหตุผลนี้มีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนไม่น้อยทีเดียว นั่นคือมีความพยายามจัดชุมนุมของกลุ่มต่อต้าน คสช. หลายครั้งในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2562 แต่ได้รับการตอบสนองจากประชาชนไม่มากนัก มีผู้เข้าร่วมชุมนุมน้อยมาก ทั้งที่มีประชาชนจำนวนมากไม่ชอบและต่อต้านการบริหารประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐบาล
ประการที่สอง กลุ่มที่วิจารณ์และไม่ชอบ คสช. อย่างเข้มข้น ส่วนใหญ่คือกลุ่มคนหนุ่มสาวและคนวัยทำงานที่มีอายุต่ำกว่าสี่สิบปี หรือเป็นชนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่มีความคิดแบบเสรีนิยม การแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มนี้ดำรงอยู่อย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ มีการวิเคราะห์กันว่ากลุ่มนี้เป็นนักเลงคีย์บอร์ด ใช้ชีวิตในโลกเสมือนจริงที่ไม่ยากลำบากมากนักและมีความเสี่ยงต่ำ รักความสะดวกสบายและมีความอดทนต่อความยากลำบากต่ำ จึงเป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะขยายพื้นที่ปฏิบัติการทางการเมืองจากโลกเสมือนจริงมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในท้องถนนที่มีความลำบาก ความเหนื่อยยากและมีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุผลสองประการข้างต้น จึงนำไปสู่ข้อสรุปว่า การนัดชุมนุมทางการเมืองมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย และ ยากที่จะ “จุดติด” หรือ เป็นสถานการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากพร้อมเดินออกจากบ้านเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้งที่มีการนัด
ฐานคิดแบบนี้เกิดขึ้นภายใต้การมองลักษณะการชุมนุมในช่วงทศวรรษก่อนของสังคมไทย ที่เป็นแบบปักหลักพักค้าง และยืดเยื้อยาวนาน ทั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ และกลุ่ม กปปส. เมื่อมีฐานคิดแบบนี้จึงคิดว่า การชุมนุมครั้งใหม่คงมีรูปแบบและลักษณะที่คล้ายคลึงกับอดีต
แต่การชุมนุมทางการเมืองในฐานะที่เป็นเครื่องมือของประชาชนที่ใช้ต่อสู้กับผู้ครองอำนาจรัฐมีการวิวัฒนการมาโดยตลอด ในหลายประเทศ ประชาชนคิดค้นและพัฒนาวิธีการแสดงออกทางการเมืองที่สอดคล้องกับภววิสัยของการพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของตนเอง และมีการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือพัฒนารูปแบบการชุมนุมอย่างหลากหลาย
รุปแบบการชุมนุมฟ้าแลบ หรือ การนัดมาชุมนุมของกลุ่มคนที่ต่อต้านอำนาจรัฐในแต่ละครั้ง มีการแบบนัดล่วงหน้าเพียงไม่กี่วันก่อนการชุมนุม ผู้นัดมักเป็นกลุ่มแกนนำ การนัดกระทำโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ มีการใช้ภาษาเชิงสัญลักษณ์ในการนัด เมื่อผู้คนได้รับข่าวสาร ถึงวันนัดต่างก็ออกมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และมีปฏิบัติการหรือกิจกรรมทางการเมืองบางอย่างในช่วงสั้น ๆ ระหว่างการรวมตัว และเมื่อเสร็จภารกิจ ก็สลายแยกย้ายกันกลับสู่เคหสถาน จากนั้นก็ดำเนินการนัดกันใหม่ ส่วนจะสิ้นสุดเมื่อไรและสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้จริงหรือไม่ ในระดับใด ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจหาข้อสรุปได้ชัดเจนมากนัก
ปรากฎการณ์ชุมนุมฟ้าแลบที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา มีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมหลายพันคน กล่าวได้ว่าเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่คุณประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีนัยว่ากระแสการต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ได้เริ่มมีการเคลื่อนตัวจากโลกเสมือนจริงสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว
นอกจากการชุมนุมฟ้าแลบแล้ว กลุ่มต่อต้านรัฐบาลยังประยุกต์และบูรณาการรูปแบบของกีฬาและสุขภาพเข้ามาเป็นวิธีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองเพื่อแสดงจุดยืนและปรากฎตัวในที่สาธารณะขึ้นมา การจัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” อันเป็นการใช้การวิ่งเพื่อสุขภาพผสานกับการวิ่งด้วยเหตุผลทางการเมือง นับว่าเป็นพัฒนาการอีกรูปแบบหนึ่งของการชุมนุมทางการเมือง ที่สร้างความสั่นไหวแก่รัฐบาลและผู้ครองอำนาจรัฐได้ไม่น้อยทีเดียว
และมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคต กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลอาจจัดกิจกรรมในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นอีก โดยผสานกับกีฬา ศิลป วัฒนธรรม บันเทิง อาหาร และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ เช่น “จัดมหกรรมแข่งฟุตบอลไล่ลุง” “แข่งเต้นรำแบบสมัยใหม่ไล่ลุง” “ประกวดภาพเขียนไล่ลุง” “ประกวดร้องเพลงไล่ลุง” “ประกวดทำและแต่งขนมเค้กไล่ลุง” “ร่วมเก็บกวาดขยะ ทำความสะอาดเมืองหรือชายหาดไล่ลุง” เป็นต้น
ในปีหน้ามีความเป็นไปได้สูงว่ากิจกรรมไล่ลุงประเภทต่าง ๆ จะผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการชุมนุมฟ้าแลบแบบจริงจังและหนักหน่วง ประเภทต้องเขียนรัฐธรรมนูญด้วยเลือด กับ กิจกรรมการเมืองรูปแบบผสมเชิงเสียดสี ที่สอดคล้องกับจริตของคนรุ่นใหม่ ที่อาจทำให้ลุงและกลุ่มอำนาจที่ห้อมล้อมลุงต้องสั่นสะเทือน และต้องกลับไปพักผ่อนเลี้ยงหลานก็ได้
ส่วนกลุ่มผู้สนับสนุนลุงอย่างไม่ลืมหูลืมตาบางกลุ่ม ยังคงเชื่อว่าลุงถูกเสมอ ลุงดีทุกอย่าง จะด้วยอคติใด หรือผูกติดกับผลประโยชน์ที่ได้จากลุงก็ตาม ก็ดาหน้าออกมาท้ารบกลางอากาศกับกลุ่มต่อต้านลุง และที่หนักกว่านั้นคือบางกลุ่มปั่นกระแสลัทธิชังชาติขึ้นมา ตอกลิ่มความขัดแย้งของสังคมไทยให้ร้าวลึกยิ่งขึ้น เพื่อหยุดยั้งหรือปิดกั้นการเปลี่ยนแปลงที่นำเสนอโดยคนรุ่นใหม่
บางทีคนเราพออายุมากขึ้นก็อาจหลงลืมไปว่า ความเปลี่ยนแปลงของสังคมนั้นเป็นธรรมชาติตามหลักอนิจจัง จะหยุดเวลา ยับยั้งยุคสมัยให้หยุดนิ่งเหมือนช่วงที่ตนเองเป็นหนุ่มสาวได้อย่างไรกันเล่า อายุแต่ละคนก็หกสิบ เจ็ดสิบกว่าปีกันทั้งนั้น ยุคสมัยของพวกลุง ๆ ทั้งหลาย ได้ผ่านไปแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ต้องปล่อยมือให้พวกลูกหลานคนรุ่นใหม่ ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบ้านเมืองในอนาคต เพื่อรับมือกับการอภิวัฒนาการของสังคมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี
ดังนั้นบรรดาเพื่อน ๆ ลุงทั้งหลายช่วยไตร่ตรองและตั้งสติกันหน่อย ยุคนี้มันเข้าสู่ 4G และ 5G กันแล้ว ไม่ใช่ยุคสงครามเย็นอันรุ่งโรจน์ของพวกท่าน แต่เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ ดังนั้นขออย่าได้ใช้ความเชื่อเก่า วิธีคิด และวิธีการเก่าๆ ปิดกั้นโอกาสและทำลายอนาคตของคนรุ่นใหม่เลยครับ คิดให้ตกและกลับไปพักผ่อนจะดีกว่าไหมครับ