**ก็เป็นอันเรียบร้อยสมตามความมุ่งหมายของ ระดับผู้นำพรรคอนาคตใหม่ ที่สามารถขับ 4 ส.ส.ที่ถูกระบุว่าเป็น “งูเห่ากินกล้วย”ออกไปจากพรรคเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าส.ส.ทั้งหมดดังกกล่าวจะหาพรรคใหม่สังกัดได้ภายในเวลา 30 ตามกฎหมายกำหนดได้หรือไม่เท่านั้น
แต่ดูแล้วก็คงไม่มีปัญหา เพราะหากติดตามความเคลื่อนไหวก็จะพบว่า จะกระจายกันไปอยู่ในสองสามพรรค แต่ที่สำคัญก็คือ ทั้งหมดล้วนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสิ้น เช่น น.ส.ศรีนวล บุญลือ จะไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย นายจารึก ศรีอ่อน และ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี จะย้ายไปพรรคชาติไทยพัฒนา และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ จะย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
หากเป็นไปตามนี้จริง นั่นก็หมายความว่า 4 ส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรคอนาคตใหม่พวกนี้จะไปเพิ่มเสียงให้กับฝ่ายรัฐบาล นี่ยังไม่นับรวมกับอีก 4 เสียงของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าพร้อมที่จะย้ายขั้วมาก่อนหน้านี้แล้ว
ขณะเดียวกันผลของการขับ 4 ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว ทำให้ "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส" หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ถึงกับออกมาโอดครวญว่า จะทำให้ฝ่ายค้านยิ่งแพ้มากขึ้น
"ผมเคยเสนอพรรคเพื่อไทยไปว่าให้ใจเย็นๆ ถ้าจะผลักส.ส.ออกไป เขาก็จะไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านก็จะเสียไปเต็มๆ เสียงปริ่มน้ำก็จะไม่ปริ่มน้ำ ถ้าขับออกไป 5-6 คน ฝ่ายค้านก็แพ้ ซึ่งเราต้องพยายามชั่งใจมองภาพรวมให้ชัดเจนว่าควรจะทำอย่างไร ขอให้มองในภาพรวมยุทธศาสตร์บ้าง"
"ในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ ผมมองแล้วเบื้องต้นเป็นการโหวตเกี่ยวกับ พ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพล ซึ่งเป็นความจำเป็นต้องทำเพื่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมก็ยังโหวตเลย แต่มติพรรคไม่ให้โหวต จึงเป็นความบาดหมางกันในพรรคจนไม่พูดคุยกัน ไม่เชิญเข้าประชุม ทำให้ปัญหาลึกเข้าไปเรื่อย ทั้งที่สาเหตุไม่มีอะไร"
แน่นอนว่าเมื่อพิจารณากันตามตัวเลขทางคณิตศาสตร์ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า 4 เสียงดังกล่าวนี้จะไปเพิ่มให้กับฝ่ายรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ทำให้เสียงของฝ่ายค้านลดลงเรื่อยๆ จนแทบเลย “ปริ่มน้ำ”ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องไปนับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. จากการถือหุ้นสื่อ รวมไปถึงการที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ พ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครปฐม ไม่สามารถรักษาเก้าอี้ที่นั่ง ส.ส.เดิมในพื้นที่เอาไว้ได้ โดยพ่ายแพ้กับผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล รวมไปถึงการเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งเดิมเป็นที่นั่งของพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งโดนศาลสั่งประหารชีวิตจากคดีจ้างวานฆ่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านดังกล่าว จะสามารถรักษาที่นั่งเดิมไว้ได้หรือเปล่า
หรือแม้ว่าหากไปเทียบกับกรณีของ "พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์" ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ กำลังพ้นสภาพส.ส. โดยคำพิพากษาของศาล จากคดีอาญาที่ถูกจำคุก จากคดีล้มการประชุมผู้นำอาเซียน ที่พัทยา เมื่อปี 52 รวมทั้งกรณีของ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ใบเหลืองจากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่
**เมื่อพิจารณากันตามตัวเลขแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า “เข้าทาง”ฝ่ายรัฐบาลจริงๆ โดยเสียงที่เพิ่มเข้ามา 4 เสียง และมีแนวโน้มเพิ่มอีก 4 เสียง จากพรรคเศรษฐกิจใหม่ เพียงแค่นี้ก็ถือว่ามีเป็นกอบเป็นกำไม่น้อยเลยทีเดียว สามารถลดเสียงปริ่มน้ำ และจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไม่น้อย
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาในทางการเมือง ในสังคมวงกว้างแล้วก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับการเคลื่อนไหวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้เท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับรู้สึก"เฉยๆ" เพราะจะว่าไปแล้วการลงมติสวนกับมติพรรคในบางเรื่อง หากมีการพิจารณาในรายละเอียดจริงๆ ก็ยังไม่อาจระบุชัดได้ว่าชาวบ้านจะให้การสนับสนุนฝ่ายไหนกันแน่ เพราะเมื่อพิจารณาจากการโหวตสวน ร่าง พระราชกำหนดโอนย้ายอัตรากำลังพลฯ ที่มี ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกขับออกมาครั้งนี้ร่วมโหวตสวนด้วยนั้น หากฟังเหตุผลของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ที่โหวตเห็นชอบ และให้เห็นว่าเป็นความจำเป็นของพระมหากษัตริย์ มันก็ทำให้เกิดความน่าสนใจว่า บรรดาแกนนำหรือที่เรียกว่า “ชนชั้นนำ” ของพรรคอนาคตใหม่ มีทัศนคติบางอย่างซ่อนอยู่ภายในหรือไม่
**ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมดดังกล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขด้านคณิตศาสตร์ ที่ผลักไส 4 ส.ส.จากฝ่ายค้านไปอยู่ฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นจนสามารถลดเสียงปริ่มน้ำไปได้ไม่น้อย ขณะเดียวกันในทางการเมืองปฏิกิริยาจากการเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ ที่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในครั้งนี้ ยังไม่สร้างอารมณ์ร่วมจากสังคมทั่วไปได้มากนัก นอกเหนือจากพวกแฟนคลับที่มีอยู่เดิมเท่านั้น ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปยังรู้สึก “เฉยๆ”นาทีนี้ถึงได้บอกว่าในทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายค้านถือว่าเพลี่ยงพล้ำ ได้ไม่คุ้มเสีย !!
แต่ดูแล้วก็คงไม่มีปัญหา เพราะหากติดตามความเคลื่อนไหวก็จะพบว่า จะกระจายกันไปอยู่ในสองสามพรรค แต่ที่สำคัญก็คือ ทั้งหมดล้วนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสิ้น เช่น น.ส.ศรีนวล บุญลือ จะไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย นายจารึก ศรีอ่อน และ พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี จะย้ายไปพรรคชาติไทยพัฒนา และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ จะย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ
หากเป็นไปตามนี้จริง นั่นก็หมายความว่า 4 ส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรคอนาคตใหม่พวกนี้จะไปเพิ่มเสียงให้กับฝ่ายรัฐบาล นี่ยังไม่นับรวมกับอีก 4 เสียงของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าพร้อมที่จะย้ายขั้วมาก่อนหน้านี้แล้ว
ขณะเดียวกันผลของการขับ 4 ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว ทำให้ "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส" หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ถึงกับออกมาโอดครวญว่า จะทำให้ฝ่ายค้านยิ่งแพ้มากขึ้น
"ผมเคยเสนอพรรคเพื่อไทยไปว่าให้ใจเย็นๆ ถ้าจะผลักส.ส.ออกไป เขาก็จะไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านก็จะเสียไปเต็มๆ เสียงปริ่มน้ำก็จะไม่ปริ่มน้ำ ถ้าขับออกไป 5-6 คน ฝ่ายค้านก็แพ้ ซึ่งเราต้องพยายามชั่งใจมองภาพรวมให้ชัดเจนว่าควรจะทำอย่างไร ขอให้มองในภาพรวมยุทธศาสตร์บ้าง"
"ในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ ผมมองแล้วเบื้องต้นเป็นการโหวตเกี่ยวกับ พ.ร.ก.โอนย้ายกำลังพล ซึ่งเป็นความจำเป็นต้องทำเพื่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมก็ยังโหวตเลย แต่มติพรรคไม่ให้โหวต จึงเป็นความบาดหมางกันในพรรคจนไม่พูดคุยกัน ไม่เชิญเข้าประชุม ทำให้ปัญหาลึกเข้าไปเรื่อย ทั้งที่สาเหตุไม่มีอะไร"
แน่นอนว่าเมื่อพิจารณากันตามตัวเลขทางคณิตศาสตร์ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า 4 เสียงดังกล่าวนี้จะไปเพิ่มให้กับฝ่ายรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ทำให้เสียงของฝ่ายค้านลดลงเรื่อยๆ จนแทบเลย “ปริ่มน้ำ”ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องไปนับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. จากการถือหุ้นสื่อ รวมไปถึงการที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ พ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดนครปฐม ไม่สามารถรักษาเก้าอี้ที่นั่ง ส.ส.เดิมในพื้นที่เอาไว้ได้ โดยพ่ายแพ้กับผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล รวมไปถึงการเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งเดิมเป็นที่นั่งของพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งโดนศาลสั่งประหารชีวิตจากคดีจ้างวานฆ่า เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านดังกล่าว จะสามารถรักษาที่นั่งเดิมไว้ได้หรือเปล่า
หรือแม้ว่าหากไปเทียบกับกรณีของ "พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์" ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ กำลังพ้นสภาพส.ส. โดยคำพิพากษาของศาล จากคดีอาญาที่ถูกจำคุก จากคดีล้มการประชุมผู้นำอาเซียน ที่พัทยา เมื่อปี 52 รวมทั้งกรณีของ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ใบเหลืองจากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่
**เมื่อพิจารณากันตามตัวเลขแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า “เข้าทาง”ฝ่ายรัฐบาลจริงๆ โดยเสียงที่เพิ่มเข้ามา 4 เสียง และมีแนวโน้มเพิ่มอีก 4 เสียง จากพรรคเศรษฐกิจใหม่ เพียงแค่นี้ก็ถือว่ามีเป็นกอบเป็นกำไม่น้อยเลยทีเดียว สามารถลดเสียงปริ่มน้ำ และจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไม่น้อย
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาในทางการเมือง ในสังคมวงกว้างแล้วก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับการเคลื่อนไหวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้เท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับรู้สึก"เฉยๆ" เพราะจะว่าไปแล้วการลงมติสวนกับมติพรรคในบางเรื่อง หากมีการพิจารณาในรายละเอียดจริงๆ ก็ยังไม่อาจระบุชัดได้ว่าชาวบ้านจะให้การสนับสนุนฝ่ายไหนกันแน่ เพราะเมื่อพิจารณาจากการโหวตสวน ร่าง พระราชกำหนดโอนย้ายอัตรากำลังพลฯ ที่มี ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกขับออกมาครั้งนี้ร่วมโหวตสวนด้วยนั้น หากฟังเหตุผลของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส จากพรรคเสรีรวมไทย ที่โหวตเห็นชอบ และให้เห็นว่าเป็นความจำเป็นของพระมหากษัตริย์ มันก็ทำให้เกิดความน่าสนใจว่า บรรดาแกนนำหรือที่เรียกว่า “ชนชั้นนำ” ของพรรคอนาคตใหม่ มีทัศนคติบางอย่างซ่อนอยู่ภายในหรือไม่
**ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมดดังกล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขด้านคณิตศาสตร์ ที่ผลักไส 4 ส.ส.จากฝ่ายค้านไปอยู่ฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นจนสามารถลดเสียงปริ่มน้ำไปได้ไม่น้อย ขณะเดียวกันในทางการเมืองปฏิกิริยาจากการเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ ที่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในครั้งนี้ ยังไม่สร้างอารมณ์ร่วมจากสังคมทั่วไปได้มากนัก นอกเหนือจากพวกแฟนคลับที่มีอยู่เดิมเท่านั้น ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปยังรู้สึก “เฉยๆ”นาทีนี้ถึงได้บอกว่าในทางยุทธศาสตร์ ฝ่ายค้านถือว่าเพลี่ยงพล้ำ ได้ไม่คุ้มเสีย !!