ถ้าแบบนี้น่าจะปิดเกมเร็ว! ตามคิวที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมาก ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 93 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กรณีพรรคอนาคตใหม่ กู้ยืมเงินจาก“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นเงินจำนวน 191,200,000 บาท
เป็นไปตามที่มีการคาดหมายว่า กรณีถือครองหุ้นสื่อบริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด ของธนาธร ที่แค่หลุดส.ส.เป็นแค่เพียงการ“เผาหลอก” แต่กรณีธนาธร ปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่เป็น“เผาจริง”
เพราะถ้าวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ กรณีธนาธรปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ ในแง่กฎหมายค่อนข้างชัดเจนกว่า และเหตุอันควรมากกว่ากรณีถือครองหุ้นสื่อ
เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าจะมาเร็วกว่าที่คิดแบบนี้
เมื่อกกต.ชงมาเร็วแบบนี้ น่าจะนับถอยหลังการคงอยู่ของพรรคป้ายแดงขวัญใจไซเบอร์ ถ้าย้อนดูไทม์ไลน์ตั้งแต่ปฏิเสธที่จะให้พรรคอนาคตใหม่ขยายเวลาส่งพยานหลักฐานเป็น 120 วัน และเดดไลน์ ให้แค่ต้นเดือนธันวาคม
หากจะเอาเหมาะเจาะกับกฎหมายที่ให้มีการคำนวณคะแนนบัญชีรายชื่อใหม่ เมื่อครบ 1 ปี อายุของพรรคอนาคตใหม่ น่าจะอยู่ได้ไม่เกินเดือนพฤษภาคมปีหน้า
อย่างเร็วที่สุดไม่เกินเดือนมีนาคม หากนับ 1 ปี ในวันกาบัตรเลือกตั้ง คือ 24 มีนาคม 2562 อย่างช้าที่สุดห้วงเดือนพฤษภาคม ที่มีการประกาศผลการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเป็นทางการจากกกต.
ดูแล้วการเร่งปิดเกมเร็วครั้งนี้ น่าจะมีมาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่เมื่อครั้งส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ลงมติไม่เห็นชอบพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ.2562 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
ซึ่งว่ากันว่า“บิ๊กรัฐบาล”เก็บกลั้นอารมณ์เดือดดาลสุดขีด กับช็อตห่ามๆ ของพลพรรคส้มหวาน
เรื่องการรณรงค์ให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตั้งใจเล่นกับกระแส ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับกองทัพ รวมไปถึงจ้องชำแหละงบประมาณในกองทัพแบบเกินพอดี
นอกจากนี้ ยังได้จังหวะกับสถานการณ์การเมืองที่เสถียรภาพในรัฐบาลเริ่มแสดงให้เห็นความหละหลวม พรรคร่วมรัฐบาลมีรอยปริแยก ไม่เป็นเอกเทศ
ทีมงานรัฐบาลชุดเดิม เริ่มอึดอัดกับสภาวะปริ่มน้ำที่ทำงานไม่สะดวกเหมือนสมัยเป็น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะต้องคอยเกรงใจพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จสั่งซ้ายหัน-ขวาหันได้ โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ ที่ต่างพรรคต่างทำ ไร้ทีมเวิร์ก
ขณะที่เกมสภาไม่คล่องตัว พลาดท่าเสียทีให้ฝ่ายค้านหลายครั้ง เพราะส.ส.พรรครัฐบาล ไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อย พรรคร่วมรัฐบาลเองคุมสมาชิกไม่อยู่
ไหนจากปัญหาบรรดาพรรคปัดเศษ ที่ตั้งท่ารวมกลุ่มต่อรองผลประโยชน์ วันไหนกล้วยหมด ตีโพยตีพาย จนรัฐบาลต้องคอยไปประกบ คอยเคลียร์ให้อยู่ในแถว
มีประเด็นร้อนๆ ที่ต้องคอยลงมาจ้ำจี้จ้ำไชเอง ทั้งที่ความเป็นจริงมันน่าจะจบในชั้นคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)ได้
เอาว่า แต่ถ้าตั้งรัฐบาลเสร็จ จนเริ่มทำงานมามีแต่“ทรง”กับ“ทรุด”
3 ป. “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เชื่อว่าทำได้ดีกว่านี้ ถ้าไม่มีข้อจำกัด
ครั้นจะใช้“งูเห่า”อย่างที่ทำๆ มาทุกครั้ง มันก็เหนื่อย เสียทั้งแรง เสียงทั้งกระสุนดินดำ บรรดาส.ส.วันๆ ไม่ต้องทำอะไร ทำตัวเป็นฟรีแลนซ์ รอดีลแลกเสียงในสภาผู้แทนราษฎร กันตลอด
ส่องดูตัวเลือกนอกจาก“ฝากเลี้ยง”ประเด็นยุบพรรคอนาคตใหม่ อาจเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ “พลังประชารัฐ”พลิกสถานการณ์กลับมาทำงานได้คล่องตัวขึ้น
ทางหนึ่งเป็นการจำกัดศัตรูพ้นทาง กับอีกทางหนึ่งอาจได้โบนัส จากกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ โดยปัจจุบันมีส.ส. 81 ชีวิต แบ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 ชีวิต และส.ส.แบบแบ่งเขตอีก 31 ชีวิต
ตอนนี้ยังมีการถกเถียงกันว่า หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค นอกจากกรรมการบริหารพรรค 15 คน ได้แก่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, ชำนาญ จันทร์เรือง, พล.ท.พงศกร รอดชมภู, รณวิต หล่อเลิศสุนทร, พรรณิการ์ วานิช, ไกลก้อง ไวทยการ, นิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์, สุนทร บุญยอด, เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์, สุรชัย ศรีสารคาม, เจนวิทย์ ไกรสินธุ์, ชัน ภักดีศรี และจารุวรรณ ศรัณย์เกตุ จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแล้ว บรรดาส.ส.บัญชีรายชื่อ จะไปยกยวงด้วยหรือไม่
เพราะส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 คนนี้ ได้เป็นส.ส.เพราะคะแนนป๊อปบูล่าโหวตของพรรค หากไม่มีพรรคแล้วคนเหล่านี้จะยังคงสภาพ ส.ส.ได้อยู่หรือไม่ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะบางฝ่ายมองว่าต้องพ้น และบางฝ่ายมองว่า ไม่พ้น แต่ต้องไปหาสังกัดใหม่
ดูเหมือนน้ำหนักจะเทไปทาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 ชีวิต จะต้องพ้นไปด้วย ซึ่งหากออกสูตรนี้ จะต้องนำคะแนนป๊อปปูล่าโหวตทั้งหมดของพรรคอนาคตใหม่ ไปเกลี่ยให้กับบรรดาพรรคการเมืองที่เหลืออยู่
แน่นอนว่า พรรคเพื่อไทย ส.ส.พึงมีเต็มลิมิตแล้ว แต่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา หรือพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ จะได้ส.ส.เพิ่มขึ้น จากการเกลี่ยใหม่
ซึ่งสูตรนี้ มองในแง่พรรคพลังประชารัฐ อำนาจต่อรองอาจได้มากขึ้นไม่เท่าไร และลดการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ เพราะทุกพรรคต่างได้รับการเกลี่ย และมี ส.ส.เพิ่มขึ้นเหมือนกัน
สูตรยุบแต่พรรค ตัดสิทธิกรรมการบริหาร แต่ยังปล่อยให้ส.ส.ทั้งบัญชีรายชื่อ และส.ส.แบบแบ่งเขต ยังอยู่ จึงน่าสนใจ เพราะคนพวกนี้จะต้องหาสังกัดใหม่ให้ได้ภายใน 60 วัน
สูตรนี้ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะ"ไพบูลย์ นิติตะวัน" ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ยังคงสถานะส.ส.ตัวเองได้อยู่ หลังไปยื่นต่อกกต.เพื่อขอยุบพรรคตัวเองแล้ว
ดังนั้น แกนนำรัฐบาลอาจไม่ต้องดึง ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่มาทั้งหมด แต่เลือกมาบางส่วนโดยเฉพาะ ส.ส.แบบแบ่งเขต ที่จะมีข้ออ้างที่จะย้ายพรรคมาร่วมกับรัฐบาล
อย่าลืมว่า ส.ส.แบบแบ่งเขตในพรรคอนาคตใหม่ทุกวันนี้ก็ค่อนข้างอึดอัดกับต้นสังกัดตัวเองที่แบ่งชนชั้น ไม่ดูแล ไม่มีทุนทำพื้นที่เพื่อต่อยอด ช่องนี้เป็นการเปิดทางให้
ส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคอนาคตใหม่ที่เหลือก็เก็บไว้ ปล่อยให้กระสานซ่านเซ็นไปอยู่กับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต่อย่อมไม่เสียหาย **เพราะวันนี้ทลายบ้านใหญ่ จนแตกสาแหรกขาด หมดความแข็งแกร่งไปเรียบร้อย