ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โหวกเหวกโวยวายตามท้องเรื่อง
ทีมงาน “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ที่เรียงหน้าออกมาร้องแรกแหกกระเชอ กรณีที่ถูก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงมติ “เสียงส่วนใหญ่” 5 ต่อ 2 เสียง ให้ยื่นคำร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณายุบพรรคจากกรณีกู้ยืมเงินจาก “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค
โดยในเอกสารข่าว กกต.ที่มีเนื้อหาเพียง “8 บรรทัด” ระบุสาระสำคัญว่า ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานพร้อมทั้งความเห็นของ “นายทะเบียนพรรคการเมือง” เห็นว่า การที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจาก “ธนาธร” เป็นเงินจำนวน 191.2 ล้านบาท เป็นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 จึงมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากดังกล่าว
ทั้งนี้ โดยรูปการณ์ตามสำนวนคดีสรุปความได้ว่า พฤติการณ์ที่นำไปสู่การเอาผิดกรรมการบริหารพรรคและพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้ เนื่องจาก กกต.เห็นว่า การที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจาก “ธนาธร” เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง ไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 72 ที่ “ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
และเป็นการฝ่าฝืนตาม 75 ที่บัญญัติว่า “บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลตามมาตรา 74 จะบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองหรือสมาชิกเพื่อดําเนินกิจการของพรรคการเมืองหรือเพื่อดําเนินกิจกรรมทางการเมืองมิได้"
จากแนวทางการสอบสวนของ กกต.เห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวไม่ชอบ เข้าองค์ประกอบตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 93 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่ให้อำนาจ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ “ยุบพรรค” ได้
มติของ กกต.ถือว่า ไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพร์ส เพราะเดากันได้ล่วงหน้า แบบที่ “บ่อน” ไม่กล้าเปิดราคา
ตามสูตรเถียงฉอดๆไม่ยอมรับมติ กกต.
พลันที่มติ กกต.ออกมา คนที่ส่งเสียงดังที่สุด หนีไม่พ้น “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นรองศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชน ออกมา “เถียงฉอดๆ” ทันทีว่า ไม่ยอมรับมติของ กกต. เพราะได้ศึกษากฎหมาย พ.ร.ป.พรรคการเมืองแล้วว่า ไม่ได้ห้ามพรรคการเมืองกู้เงิน อีกทั้งพรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลเอกชน มีเสรีภาพที่สามารทำได้ เว้นแต่กฎหมายห้ามไว้
ทั้งยัง “ตีความ” ด้วยตัวเองเสร็จสรรพว่า การกู้เงินไม่ได้ถือเป็นรายได้ของพรรคการเมือง ตามมาตรา 62 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่อง “นิติกรรมอำพราง” ว่า เงินกู้ดังกล่าวเป็นเงินบริจาคนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะเงินบริจาคต้องไม่ได้คืน แต่เงินกู้ต้องคืนเงินให้กับผู้ให้กู้เงิน ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ได้ทยอยคืนเงินให้กับ “ธนาธร” ไปแล้วหลายครั้ง
ก่อนโยนระเบิดกลับไปใส่ กกต.ว่า ใช้ดุลยพินิจทางกฎหมาย เพราะมีวัตถุประสงค์เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” และต้องการกำจัด “ศัตรูทางการเมือง” หรือเปล่า
พร้อมแยกเขี้ยวขู่ด้วยว่า “แม้เป็นหนังม้วนเก่าฉายซ้ำแต่จะไม่จบแบบเดิม” โดยเรียกร้องให้อย่ายอมกระบวนการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง ที่เป็นเรื่องผิดปกติให้กลายเป็นเรื่องปกติ
“วันนี้เป็นวันอัปยศอีกครั้งหนึ่งของการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อยากให้รับฟังกระแสสังคมบ้าง ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้สังคมออกมาตั้งคำถามถึงการทำงานของ กกต.ชุดนี้ และพรรคอนาคตใหม่ยืนยันเดินหน้าทำงานการเมืองอย่างต่อเนื่อง มติวันนี้ไม่สามารถหยุดการเดินทางของพรรคอนาคตใหม่ได้ ให้รู้ไปว่าพรรคการเมืองที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการเมือง และสร้างความโปร่งใส ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ ก็ไม่เป็นไร และยืนยันพร้อมต่อสู้ทางคดีความกันต่อไป” ตบท้ายแบบหล่อๆ ตามสไตล์ “ค่ายสีส้ม”
ระหว่างบรรทัด “ปิยบุตร” ยังพยายามโยงไปถึง “เอกสารหลุด” ก่อนหน้านี้ว่าเป็น “ใบสั่ง” จาก “ผู้มีอำนาจ” ด้วย เนื่องจาก มติของ กกต.ออกมาตามเอกสารดังกล่าวแทบทุกระเบียดนิ้ว
ย้อนไปไม่กี่วันก่อน กกต.จะมีมตินี้ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ก็ออกมาจุดพลุเรื่อง “เอกสารหลุด” ไปรอบว่า เป็น “ธง-ใบสั่ง” ทางการเมืองที่ต้องการเชือดพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากเป็นเอกสาร “ความเห็น” ที่ได้ได้มีการชี้นำคดีไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ “ธนาธร” และกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่มีความผิดในคดีอาญา ถูกตัดสิทธิทางการเมือง จากกรณีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรค โดยเอกสารความเห็นนั้นลงวันที่ 20 ก.ย.62
น่าสังเกตว่า ในระหว่างที่ “สาวช่อ” นำเอกสารดังกล่าวมาแถลงข่าว ได้มีการเซนเซอร์ข้อความบางช่วงบางตอนที่ระบุถึงตำแหน่ง และชื่อผู้เขียนเอกสารฉบับนั้น
นัยว่าต้องการให้เกิดปริศนาความน่าสงสัย เพิ่มน้ำหนักความไม่ปกติของเอกสารที่ว่า
“สาวช่อ” โป๊ะแตกไม่มี “เอกสารหลุด”
ไม่ทันไรก็ “โป๊ะแตก” เมื่อไม่นานก็มีการนำเอกสารฉบับเดียวกันเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ว่า เป็นเอกสารความเห็นของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. เพื่อเสนอต่อ กกต.ใหญ่ ซึ่งเป็น “ขั้นตอนปกติ” เพราะ “จรุงวิทย์” มีศักดิ์เป็นทั้งหัวหน้าสำนักงาน กกต. และยังเป็น “นายทะเบียนพรรคการเมือง” โดยตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดอีกด้วย
จากนั้นทางสำนักงาน กกต.ก็ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 เลขาธิการกกต.ต้องมีความเห็นในสำนวนการสืบสวนเพื่อเสนอความเห็น ต่อกกต .ซึ่งกรณีนี้เลขาธิการ กกต.ได้มีความเห็น เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ตามที่ปรากฏเป็นข่าว โดยการเสนอความเห็นในสำนวนเป็นไปตามขั้นตอน ของระเบียบมิใช่การชี้นำในสำนวนการสืบสวนแต่อย่างใด
หักล้างน้ำหนักความพยายาม “ตีกิน” ว่าเป็น “ใบสั่งผู้มีอำนาจ” ของพรรคอนาคตใหม่จนสิ้นซาก
อีกประเด็นที่ “คนอนาคตใหม่” พยายามจุดขึ้นมา คือการกล่าวหาว่า กกต.เร่งรัดกรณีเรื่องของการกู้เงินของพรรคอนาคตใหม่อย่าง “ผิดสังเกต” โดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีการเรียกไปสอบสวน แต่ตัว “ปิยบุตร” เอง ก็ “สารภาพในที” ว่า ได้รับการเชิญจากประธานคณะกรรมการสอบสวนให้ไปชี้แจงเพียง 3 ครั้ง และให้ส่งเอกสารไปเพิ่มเติม
ก็ถูกทาง กกต.ตอกหน้าหงายกลับไปด้วยว่า คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ได้พิจารณาและเสนอความเห็นต่อ กกต.แล้ว กกต.มีมติเมื่อวันที่ 18 พ.ย.62 ให้หมายเรียกขอเอกสารที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้อง และปัญหาหรือข้อโต้แย้งเคยขอจากพรรคอนาคตใหม่
แต่พรรคอนาคตใหม่ได้จัดส่งเอกสารที่ขอให้บางส่วน และขอขยายเวลาการจัดส่งเอกสารที่ยังไม่ได้จัดส่งออกไปอีก 120 วัน
ก่อนที่ กกต.จะมีมติเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ให้หมายเรียกขอเอกสารที่พรรคอนาคตใหม่ยังไม่ได้จัดส่งอีกครั้ง โดยให้พรรคอนาคตใหม่จัดส่งเอกสารภายในวันที่ 2 ธ.ค
ปรากฏว่าไม่มีการจัดส่งเอกสารภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จึงถือว่าพรรคอนาคตใหม่ “ไม่ติดใจ” ที่จะส่งเอกสารตามที่ กกต.ร้องขอ
ดังนั้น กกต.ก็จำเป็นต้องพิจารณาเอกสารเท่าที่มีอยู่ ก่อนออกมาเป็นมติเสียงข้างมากในที่สุด
เท่ากับว่าเสียงคร่ำครวญของพรรคอนาคตใหม่ ถูก กกต.ย้อนศรได้ในทุกประเด็น สะท้อนว่า ทั้งที่ “ค่ายสีส้ม” มีโอกาสในการต่อสู้ข้อกล่าวหาตามกระบวนการ กลับเลือกที่โวยวาย “ฟ้องสังคม” ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
คลับคล้ายคลับคลากับการไปให้การในชั้นศาลรัฐธรรมนูญของ “เสี่ยเอก- ธนาธร” กรณีถือหุ้นสื่อสารมวลชน บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่คอยแต่ท่องคาถา “จำไม่ได้ - ผมไม่ทราบ” กระทั่ง “ผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน” มากกว่าจะพยายามพิสูจน์ว่า ได้โอนหุ้นไปก่อนวันรับสมัครผู้สมัคร ส.ส.แล้วจริงๆ
ที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็จำต้อง “ลงดาบ” จนเก้าอี้ ส.ส.กระเด็นไปจากก้น “เสี่ยเอก” แล้วก็กดสูตร “ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม” ที่ไม่ต่างจากแผ่นเสียงตกร่อง
รับว่ากู้จริง แต่ไม่ได้ “เตี้ยม” ยอดเงิน
คำถามมีว่า มรสุมหลายๆ ลูกที่ “ค่ายสีส้ม” ต้องประสบนั้น เพราะเป็น “ผู้ถูกกระทำ” หรือ “ทำร้ายตัวเอง” จนทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องสุ่มเสี่ยงปิดตำนานก่อนเวลาอันควรกันแน่
ชัดเจนที่สุดคงเป็นกรณีที่พรรคอนาคตใหม่กู้เงินจาก “เฮียทอน” หัวหน้าพรรค ซึ่งโพล่งออกมาครั้งแรกโดย “โฆษกช่อ” เองในรายการฟังหูไว้หูทาง ทางช่อง 9 MCOT HD ก่อนการเลือกตั้งไม่ถึง 1 สัปดาห์ วันที่ 19 มี.ค.62 ที่ถูกพิธีกรถามถึงกระแสข่าวที่ว่า พรรคยืมเงิน “เสี่ยเอก” ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ได้รับคำตอบว่า มีการทำสัญญากู้ยืมประมาณ 200-250 ล้านบาท
แถมยังหยอดเป็นมุกไว้ด้วยว่า ถูกหัวหน้าพรรคคิดดอกเบี้ยแพงมาก (ธนาธร) เป็นคนที่หน้าเลือดพอสมควร
ถัดมาหลังเลือกตั้ง วันที่ 5 เม.ย.62 คราวนี้เป็น “ธนาธร” เองที่เปิดเผยระหว่างการแถลงข่าวในงานอนาคตใหม่ไฟแรงเฟร่อ! ณ ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ ว่า “...ต้องบอกทุกคนตามตรง ซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะ เราก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ตอนนี้พรรคอนาคตใหม่ เป็นหนี้ผมอยู่ 90 ล้าน ก็ตั้งใจว่าจะทวงคืนทุกบาททุกสตางค์...”
และยังมาย้ำชัดๆกันอีกครั้ง ในระหว่างที่ “เสี่ยทอน” ไปพบปะผู้สื่อข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.62 ที่กล่าวเป็นภาษาอังกฤษแปลความได้ว่า “...ให้ผมเปิดเผยถึงวิธีบริหารการเงินของพรรคนี้สักหน่อย พรรคเป็นหนี้ผมอยู่ ผมให้เงินพรรคยืมอยู่ 110 ล้านบาท ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งรอบนี้ ... เราต้องการความโปร่งใส ดังนั้นผมจึงไม่ได้ให้เงินพรรค แล้วบอกว่าให้พรรคใช้เงินก้อนนี้โดยไม่ต้องแจ้ง (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ผมต้องการที่จะเปิดเผยตรงไปตรงมา และเราก็แจ้งเรื่องเงินก้อนนี้ รวมถึงวิธีการใช้เงินของเรา ตอนนี้ในบัญชีของพรรคผมเป็นเจ้าหนี้การค้า (Account Payable) ร้อยกว่าล้าน ผมจำตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้ แต่น่าจะประมาณ 105 หรือ 110 ล้านบาทไทย...”
น่าสนใจว่า ยอดเงินกู้แต่ละครั้งตัวเลขไม่ตรงกันเลย ราวกับไม่ได้ “เตี้ยม” กันมาก่อน จนมีคำถามว่า สรุปแล้วพรรคอนาคตใหม่เป็นหนี้หัวหน้าพรรคกี่ล้านกันแน่
ทั้งนี้ “ยอดเงินกู้” มาปรากฏเมื่อครั้งที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ “ธนาธร” ที่มีรายการปล่อยเงินกู้ 6 รายการ โดยมี 2 รายการ ที่เป็นสัญญาเงินกู้ที่ทำไว้กับพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งสิ้น 191.2 ล้านบาท
สัญญาฉบับแรกทำเมื่อวันที่ 2 ม.ค.62 ระหว่าง “ธนาธร” (ผู้ให้กู้) กับ นิติพัฒน์ แต้มไพโรจน์ เหรัญญิกพรรคอนาคตใหม่ ปฏิบัติหน้าที่แทนหัวหน้าพรรค (ผู้กู้) ยอดเงิน 161.2 ล้าน บาท อัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
อีกสัญญา ทำเมื่อวันที่ 11 เม.ย.62 ยอดเงิน 30 ล้านบาท ลงนามโดยบุคคลเดียวกับสัญญาฉบับแรก แต่คิดดอกเบี้ยเพียง 2% ต่อปี
น่าสนใจอีกว่า การพูดของ “เฮียทอน” หลังเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 5 เม.ย.62 ถึงระบุตัวเลข 90 ล้านบาท ทั้งที่ตามสัญญาฉบับแรกคือ 161.2 ล้านบาท เช่นเดียวกับที่ไปพูดที่ FCCT เมื่อวันที่ 15 พ.ค.62 ซึ่งให้หลังการทำสัญญาเงินกู้ทั้ง 2 ฉบับแล้ว ไฉนเลยยอดเงินที่พูดจึงเป็น 105 หรือ 110 ล้านบาท ไม่ได้ใกล้เคียงตัวเลขในสัญญาแม้แต่น้อย
และเมื่อ “พลั้งปาก” มาสารภาพกันกลางแจ้ง ก็เหมือนเขี่ยลูกเข้าทาง “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่ได้เข้าร้องเรียนต่อ กกต.ให้สอบกรณีพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจากหัวหน้าพรรค ว่าอาจเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
เข้าตาจนปั่นกระแส “ถูกกระทำ”
ส่งผลให้ “ปิยบุตร” ต้องออกมาสวมวิญญาณอาจารย์กฎหมาย จัดเลกเชอร์ชี้แจงการกู้ยืมเงินที่ว่า โดยพยามชี้ให้เห็นว่า การกู้ยืมเงิน “ธนาธร” ของพรรคไม่ได้ผิดกฎหมาย จึงได้ศึกษากฎหมายทั้งหมด พบว่าพรรคการเมืองในต่างประเทศเป็นหนี้ธนาคารเต็มไปหมด รวมไปถึงหลายพรรคการเมืองของไทย ที่ถูก “จารย์ป๊อก” อ้างถึงว่า มีการยอดเงินกู้ยืมอยู่ในรายงานบัญชีงบดุลที่ยื่นต่อ กกต.
อย่างไรก็ดี “ข้อแก้ต่าง” ของ “จารย์ป๊อก” กลายเป็นหมากที่พลาดซ้ำของพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากการกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองอื่นๆที่ค้างอยู่ในบัญชีงบดุลนั้น อยู่ภายใต้ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2550 แต่การดำเนินงานของพรรคอนาคตใหม่อยู่ภายใต้ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ที่ตัด “รายการกู้ยืมเงิน” หรือ “รายได้อื่น” ออกจากส่วน “รายได้ของพรรคการเมือง” ไปแล้ว
“ไม่มีกฎหมายเขียนไว้ว่าห้ามพรรคการเมืองกู้เงิน เมื่อไม่เขียนจึงสามารถทำได้” คือคำสรุปของ “จารย์ป๊อก” ในกรณีดังกล่าว และยึดเป็นหลักในการชี้แจงมาจนกระทั่งหลังที่ กกต.มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด
ขณะที่ “ประธานปุ๊” อิทธิพล บุญประคอง ประธาน กกต. ก็ได้หล่นความเห็นส่วนตัวไว้นานนมแล้วเช่นกันว่า “ในกฎหมายพรรคการเมือง ไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองกู้เงิน"
แน่นอนว่า ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาเป็น “บวก” หรือ “ลบ” ต่อพรรคอนาคตใหม่ แต่หากไล่เรียงพฤติการณ์ที่มาจาก “คำสารภาพ” ของ “แกนนำพรรค” อย่าง “ธนาธร-พรรณิการ์” ก็ต้องบอกว่า น่าเป็นห่วงไม่น้อย
เพราะด้วยโทษทัณฑ์ถึงขั้น “ยุบพรรค” พร้อมตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค เรียกว่า “ตายยกเข่ง” หนักกว่าคดีถือหุ้นสื่อของ “เสี่ยเอก” ที่ “ตายเดี่ยว” ไปแล้ว
ทำให้ไม่ทันไรผู้สันทัดกรณีหลายค่าย เริ่มไล่นับหัว ส.ส.อนาคตใหม่แล้วว่า “ใครรอด-ใครร่วง”
ระหว่างนี้ “ค่ายสีส้ม” ที่อาจจะพอมีลุ้นโอกาสชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า “เมื่อกฎหมายไม่เขียนห้ามไว้ จึงสามารถทำได้” จะเป็น “ข้ออ้าง” ที่ฟังขึ้นหรือไม่ คู่ขนานไปกับการตีปี๊บว่า พรรคอนาคตใหม่ ถูกกระทำโดยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ปั่นกระแส “ผิด ไม่ เป็น” ดักทางหากผลออกมาเป็น “ลบ” ไว้ล่วงหน้า อาจจะต้องลงไปทำการเมืองบนถนน อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
แต่ละคดี “ทำร้ายตัวเอง” ทั้งนั้น
หากมองด้วยใจเป็นกลาง ไม่ได้เป็น “ติ่งพ่อฟ้า- ติ่งอนาคตใหม่” แล้ว ย่อมมองเห็นว่าหลายกรณีในมรสุมที่ถาโถมเข้าใส่พรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่แค่ปม “ปล่อยกู้พรรค” เท่านั้น
อีกหลายๆ เรื่องก็เข้าข่าย “ทำร้ายตัวเอง” มากกว่าที่มาโพนทะนาว่า “ถูกกระทำ”
ไม่ว่าจะเป็น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ “เสี่ยเอก” สิ้นสภาพความเป็น ส.ส. กรณีถือหุ้นสื่อมวลชน บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ขณะเป็นผู้สมัคร ส.ส. เข้าข่ายมี “ลักษณะต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) โดย ศาลรัฐธรรมนูญ ให้เหตุผลว่า จากการสอบสวนพยานหลักฐานแล้วเชื่อได้ว่า หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวอยู่ในวันที่ 6 ก.พ.62 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พรรคอนาคตใหม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต.
หักล้าง “ข้อโต้แย้ง” ของ “ธนาธร” ที่ยืนยันว่า มีการโอนหุ้นไปก่อนหน้านั้นแล้ว หรือเมื่อวันที่ 8 ม.ค.62
“จุดตาย” ในคดีนี้ก็มาจาก “ความย้อนแย้ง” กันเองในคำให้การของพยานฝ่าย “เฮียทอน” เอง ตลอดจนมีการเปรียบเทียบพฤติการณ์โอนหุ้น หรือการนำเช็คค่าหุ้นเข้าบัญชีที่พบว่า “ผิดปกติ” จากทุกครั้งที่ผ่านๆมา
และเมื่อไล่เรียงไทม์ไลน์กรณีถือหุ้นสื่อ ผนวกกับคำชี้แจงของ “ธนาธร” ต่างวาระ ก็จะพบว่า “ไม่แนบเนียน” จนใครต่อใครเชื่อว่า “โอนหุ้นย้อนหลัง” โดยเฉพาะเวลาที่ดูเหมือน “เสี่ยใหญ่ไทยซัมมิท” จะ “เข้าตาจน” ก็จะงัดคำตอบแบบไม่ได้ตอบ ทั้ง “จำไม่ได้” หรือย้อนกลับไปทื่อๆว่า “คุณถามผิดแล้ว” ในระหว่างการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนครั้งหนึ่ง
หรือพอทำท่าจะจนมุมคาศาลรัฐธรรมนูญก็ “เบี่ยงประเด็น” ไปว่า ที่ถูกเล่นงานเพราะต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือกระทั่งพาดพิงไปถึง “เสี่ยแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในทำนองว่าเข้าสู่การเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์ ทำเอา “ติ่งลุงแม้ว-คนเสื้อแดง” โห่กันเกรียวกราวมาแล้ว
แม้กระทั่งข้อหาฉกาจฉกรรจ์ “ชังชาติ-ล้มสถาบัน” ของ “คนอนาคตใหม่” ซึ่งมีผู้ไปยื่นคำร้องไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ทั้ง “ธนาธร -ปิยบุตร” และกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
และศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา
“กรรมเก่า” สะท้อนตัวตน “อนาคตใหม่”
อันที่จริงตั้งแต่หลังการเปิดสภาผู้แทนราษฎรเป็นต้นมา พรรคอนาคตใหม่ ก็ใช้เวทีสภาฯในการ “แก้ต่าง” ข้อกล่าวหาดังกล่าวหลายต่อหลายครั้ง จนมีเสียงไล่หลังว่าพวกนี้ “ร้อนตัว” ชอบกล
“พรรคอนาคตใหม่มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกท่าน และไม่ได้น้อยไปกว่าคนที่กล่าวหาพวกเรา แต่การแสดงออกของแต่ละคนอาจจะมีความแตกต่างกัน” คำอภิปรายตอนหนึ่งของ "ปิยบุตร” ระหว่างการอภิปรายร่างนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ก.ค.62 หรือหลังถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่นาน
ถามว่า “ค่ายสีส้ม” ถูกยัดเยียด “ข้อกล่าวหาร้ายแรง” อย่างไม่มีที่มาที่ไปหรือ ก็คงต้องหาคำตอบจาก “ร่องรอย” ในอดีต โดยเฉพาะร่องรอยของ 3 คีย์แมนอย่าง “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์” ที่มีพฤติกรรม-วาทกรรมที่ “หมิ่นเหม่” พอสมควร
ตั้งแต่ “เสี่ยเอก-ธนาธร” สมัยเป็นหนุ่มกระทง ก็เคยให้ทุนสนับสนุน “นิตยสารฟ้าเดียวกัน” ที่มักวิจารณ์สถาบันเบื้องสูงบ่อยครั้ง จนถูกจัดอยู่ใน “นิตยสารต้องห้าม” ที่มี “ทัศนคติอันตราย” ต่อสถาบันฯ
ขณะที่ “จารย์ป๊อก -ปิยบุตร” สมัยเรียนจบจากฝรั่งเศสใหม่ๆ กลับประเทศเข้ามาเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนร่วมเคลื่อนไหวกับอาจารย์ค่ายเดียวกันในนาม “คณะนิติราษฎร์” ที่มีความพยายามผลักดันไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 112 ที่ว่าด้วยการกระทำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตลอดจนข้อเสนอที่ใช้สถานะ “นักวิชาการ” บังหน้า ที่เสนอให้ห้ามพระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ
หรือเมื่อเดือน ส.ค.60 ที่ “ปิยบุตร” โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “...กลับมาจากฝรั่งเศสได้ไม่นาน ผมอยากกลับไปฝรั่งเศสอีกแล้ว หรือขอไปอยู่ที่อื่นก็ได้ เดนมาร์กก็ได้ สิงคโปร์ก็ได้ ภริยาผมบอกว่า เธอไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้วจริงๆ เมื่อก่อนเธอไม่เคยพูดแบบนี้ พึ่งมาปีนี้แหละที่ผมได้ยินบ่อยๆ ผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะอยู่เท่าไหร่ และถ้ามีลูก ผมไม่มีวันให้ลูกผมเรียนและเติบโตที่นี่แน่นอน...”
จากปัญหาเพียงแค่ “เมียจารย์ป๊อก” ที่เป็นชาวต่างชาติ ติดแถว ตม.ขาเข้าประเทศนานเท่านั้น
สดๆร้อนๆ กรณีของ “สาวช่อ -พรรณิการ์” ถูกขุดคุ้ยภาพถ่ายที่ส่อไปในทางมิบังควรจากการโพสต์ภาพดังกล่าว พร้อมกับสวมชุดครุยนิสิตมหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีก่อน ที่ทั้งภาพถ่ายและข้อความหลายวาระ สะท้อนถึง “ทัศนคติ” ต่อสถาบันเบื้องสูงได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นเหตุให้ “สาวช่อ” ถูก “ลดบทบาท” ภายในพรรคอนาคตใหม่ไปพอสมควร
กลายเป็น “กรรมเก่า” ที่ส่อเจตนา ตามมาหลอกมาหลอนย้อนศรเข้าหาตัวเอง หาได้เป็นถูกใครกระทำกลั่นแกล้งหรือใส่ร้ายป้ายสี อย่างที่ “คนอนาคตใหม่” พยายามอ้างเอาตัวรอด ที่สำคัญคือล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดย “ชนชั้นนำของพรรค” ทั้งสิ้น
และในขณะที่แก้ต่าง-แก้ตัวว่า ยึดมั่นและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จู่ๆพรรคอนาคตใหม่ก็จัดอีเวนต์ “อยู่ ไม่ เป็น” ที่ดูแป้กๆ ปั่นกระแสไม่ขึ้น หลังคิกออฟไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย.62 ก่อนการตัดสินคดีหุ้นสื่อของ “ธนาธร” เพียงไม่กี่วัน
ประเด็นอยู่ที่ชื่ออีเว้นท์ ที่แม้แต่ “เด็กประถม” ยังรับรู้ได้ว่า “ค่ายสีส้ม” ตั้งใจเล่นคำสวนกับวลี “อยู่เป็น” ที่กระทบกระเทียบไปถึง “เรื่องใด” และรับรู้ด้วยว่า “ธนาธร” และพรรคอนาคตใหม่ กำลัง “คิดอะไรอยู่”
ถือเป็น 3 ประเด็นหลักๆ ที่พรรคอนาคตใหม่ “ทำร้ายตัวเอง” มากกว่า “ถูกกระทำ” ตามกระแสที่พยายามปั่นให้สาวกคล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ปล่อยกู้พรรค” ที่แถแบบฟังไม่ขึ้นว่า กฎหมายไม้ห้ามเท่ากับทำได้ หรือ “หุ้นสื่อ” ที่แถไถแบบน้ำขุ่นๆ แต่ก็ถูกจับได้ไล่ทัน หนักสุดก็คงพฤติกรรมเก่าๆ ที่ถูกมองว่า “ชังชาติ-ล้มสถาบัน” คอยตามหลอกหลอน
ฉะนั้น ก่อนจะออกมาโอดโอยร้องแรกแหกกระเชอว่า ถูก “ใครบางคน” จ้องทำลาย ควรสำรวจพฤติการณ์ตัวเองก่อนว่า ทำ “ปืนลั่น” เองหรือเปล่า.