ผู้จัดการรายวัน360- บอร์ดรฟม.หั่นค่าโดยสารสายสีม่วง เหลือ 20 บาททั้งวัน เร่งชง”ศักดิ์สยาม” เสนอครม. ทดลอง 3 เดือน เผยใช้สายสีม่วงต่อน้ำเงิน สุดคุ้มเหลือ 48 บาท คาดสูญเดือนละ 15 ล้านบาท ดึงรายได้สัมปทานชดเชย พร้อมเล็งออกตั๋วเดือนสีน้ำเงินเล็ง หลังเปิดต่อขยายครบ ส่วนแทรมป์ภูเก็ต ให้ประเมินผู้โดยสารใหม่ใหม่
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดรฟม. วานนี้ (11 ธ.ค.) เห็นชอบการปรับลดอัตราค่าโดยสาร รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วง เตาปูน-คลองบางไผ่ ค่าโดยสาร 14-20 บาท ตลอดทั้งวัน (05.30 น.-24.00 น. ) จากปกติ 14-42 บาท ซึ่งปรับเปลี่ยนจากเดิม ที่บอร์ดเคยอนุมัติให้ลดราคาเฉพาะช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off Peak) ช่วงเวลา 09.00- 17.00 น. โดยจะกำหนดเป็นมาตรการ ระยะ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 2562 - 31 มี.ค.2563
จากการวิเคราะห์ตัวเลขพบว่า การลดค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย ทั้งวัน จะทำให้สายสีม่วงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 17.8% จากปัจจุบันที่มีผู้โดยสารเฉลี่ย 6 หมื่นคนต่อวัน แต่จะทำให้สูญรายได้จากการลดราคาประมาณเดือนละ 15 ล้านบาท หรือรวม 3 เดือนประมาณ 45 ล้านบาท โดยรฟม.จะนำรายได้จากส่วนแบ่งรายได้ค่าสัมปทาน และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ซึ่งมีประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี มาอุดหนุน
ทั้งนี้ รฟม.จะสรุปเสนอกระทรวงคมนาคมภายในวันที่ 13 ธ.ค. เพื่อนำเสนอ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 17 ธ.ค.เนื่องจากตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังปี 2561 มาตรา27 กำหนดให้เสนอครม. อนุมัติ กรณีมีผลที่ทำให้รัฐมีรายได้ลดลง
ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางรถไฟฟ้า MRT 2 สาย คือสีน้ำเงิน และสีม่วงต่อเนื่องกัน ซึ่งมาตรการเดิมจะมีตั๋วเดือน 4 ประเภท จะพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจาก ตั๋วแบบ 50 เที่ยว (ราคาจำหน่าย 2,350 บาท) มีค่าโดยสารต่ำสุดที่ 47 บาทต่อเที่ยว (ราคาจำหน่าย 2,350 บาท) นั้น หากครม.เห็นชอบ ลดค่าโดยสารสีม่วงเหลือ 20 บาท จะทำให้การใช้รถไฟฟ้าเชื่อม 2 สาย เหลือค่าโดยสาร สูงสุด48 บาทเท่านั้น โดยจ่ายสีม่วง 20 บาท สีน้ำเงินจ่าย สูงสุด 28 บาท( คิดจากราคาสูงสุด 42 บาทหักค่าแรกเข้า 14 บาท) ซึ่งจะจูงใจมากกว่า ตั๋วเดือนที่ต้องจ่ายเป็นเงินมากกว่าในการซื้อต่อครั้ง
การลดค่าโดยสารดังกล่าว สนข.ได้วิเคราะห์ ว่าจะทำให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งจะมีผลดี ทางอ้อม 5 ด้าน คิดเป็นมูลค่าถึง 38.7 ล้านบาทต่อเดือน ได้แก่ 1. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ 12.57 ล้านบาท2.ประหยัดเวลาเดินทาง 14.6 ล้านบาท 3. ลดมูลค่าการสูญเสียจากอุบัติเหตุ 570,000 บาท 4. ค่าความสุขที่ประชาชนได้รับ 10.2 ล้านบาท 5. ลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม 630,000 บาท
อย่างไรก็ตาม รฟม.จะดำเนินการส่งเสริมและจูงใจประชาชนใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วงเพิ่มเช่น ร่วมกับ ขสมก.ในการจัดรถ Shuttel Bus เชื่อมจากหมู่บ้านหรือชุมชนกับสถานี
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าฯรฟม. กล่าวว่า ส่วนการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ในรูปแบบตั๋วเที่ยวนั้นรฟม.ได้มีการหารือกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทานเบื้องต้น แล้ว แต่ เนื่องจากสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ยังอยู่ระหว่าการทยอยเปิดเดินรถ ซึ่งล่าสุด เปิดทดลองช่วงเตาปูน-สิรินธร และสิ้นเดือนธ.ค. นี้จะขยายจากสิรินธร-ท่าพระ ทำให้จำนวนผู้โดยสารยังไม่นิ่ง จึงต้องรอหลังเปิดให้บริการส่วนต่อขยายอย่างเป็นทางการปลายเดือนมี.ค. 2563 ก่อน จึงจะกำหนดมาตรการค่าโดยสารตั๋วเที่ยวได้
สั่งเช็กตัวเลขผู้โดยสาร รถแทรมป์ภูเก็ต”ใหม่ หวั่นประเมินสูงไป
นายสราวุธ กล่าวว่า นอกจากนี้ รฟม.ได้ รายงานผลการศึกษาโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระบบรถไฟฟ้ารางเบา (LRT/Tram) ซึ่งบอร์ดมีข้อสังเกตุเรื่องประมาณการณ์ผู้โดยสาร ที่อาจจะสูงเกินไปหรือไม่ โดยให้ประเมินพฤติกรรมการเดินทางอย่างรอบด้าน และเปรียบเทียบการเดินทางด้วยขนส่งอื่นๆ เช่น Airport Bus ผู้ใช้ที่เป็นนักท่องเที่ยว. เป็นต้นรวมถึง การเวนคืนที่ดินช่วงโค้งแยกสนามบิน ที่ยังมีข้อสังเกตุ ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าสงวนหรือไม่ เพื่อความชัดเจนและไม่เป็นปัญหาในอนาคต โดยมอบให้อนุกรรมการฯ (Executive Committee) ไปพิจารณาตัวเลข ให้ครบทุกมิติและนำเสนอ บอร์ดในเดือนม.ค.63 เพื่อพิจารณาและนำเสนอคณะกรรมการ PPP และครม.ภายในต้นปี 2563
สำหรับค่างานโยธาเพิ่มจาก 23,499 ล้านบาท เป็นกว่า 26,000 ล้านบาท งานระบบอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ส่วนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ที่ประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท โดยคาดว่าปีแรกที่เปิดให้บริการจะมีผู้โดยสารประมาณ 39,000 คนต่อวัน
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) ในฐานะประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดรฟม. วานนี้ (11 ธ.ค.) เห็นชอบการปรับลดอัตราค่าโดยสาร รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วง เตาปูน-คลองบางไผ่ ค่าโดยสาร 14-20 บาท ตลอดทั้งวัน (05.30 น.-24.00 น. ) จากปกติ 14-42 บาท ซึ่งปรับเปลี่ยนจากเดิม ที่บอร์ดเคยอนุมัติให้ลดราคาเฉพาะช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off Peak) ช่วงเวลา 09.00- 17.00 น. โดยจะกำหนดเป็นมาตรการ ระยะ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 2562 - 31 มี.ค.2563
จากการวิเคราะห์ตัวเลขพบว่า การลดค่าโดยสารเหลือ 20 บาทตลอดสาย ทั้งวัน จะทำให้สายสีม่วงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 17.8% จากปัจจุบันที่มีผู้โดยสารเฉลี่ย 6 หมื่นคนต่อวัน แต่จะทำให้สูญรายได้จากการลดราคาประมาณเดือนละ 15 ล้านบาท หรือรวม 3 เดือนประมาณ 45 ล้านบาท โดยรฟม.จะนำรายได้จากส่วนแบ่งรายได้ค่าสัมปทาน และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ซึ่งมีประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปี มาอุดหนุน
ทั้งนี้ รฟม.จะสรุปเสนอกระทรวงคมนาคมภายในวันที่ 13 ธ.ค. เพื่อนำเสนอ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 17 ธ.ค.เนื่องจากตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังปี 2561 มาตรา27 กำหนดให้เสนอครม. อนุมัติ กรณีมีผลที่ทำให้รัฐมีรายได้ลดลง
ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางรถไฟฟ้า MRT 2 สาย คือสีน้ำเงิน และสีม่วงต่อเนื่องกัน ซึ่งมาตรการเดิมจะมีตั๋วเดือน 4 ประเภท จะพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจาก ตั๋วแบบ 50 เที่ยว (ราคาจำหน่าย 2,350 บาท) มีค่าโดยสารต่ำสุดที่ 47 บาทต่อเที่ยว (ราคาจำหน่าย 2,350 บาท) นั้น หากครม.เห็นชอบ ลดค่าโดยสารสีม่วงเหลือ 20 บาท จะทำให้การใช้รถไฟฟ้าเชื่อม 2 สาย เหลือค่าโดยสาร สูงสุด48 บาทเท่านั้น โดยจ่ายสีม่วง 20 บาท สีน้ำเงินจ่าย สูงสุด 28 บาท( คิดจากราคาสูงสุด 42 บาทหักค่าแรกเข้า 14 บาท) ซึ่งจะจูงใจมากกว่า ตั๋วเดือนที่ต้องจ่ายเป็นเงินมากกว่าในการซื้อต่อครั้ง
การลดค่าโดยสารดังกล่าว สนข.ได้วิเคราะห์ ว่าจะทำให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งจะมีผลดี ทางอ้อม 5 ด้าน คิดเป็นมูลค่าถึง 38.7 ล้านบาทต่อเดือน ได้แก่ 1. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ 12.57 ล้านบาท2.ประหยัดเวลาเดินทาง 14.6 ล้านบาท 3. ลดมูลค่าการสูญเสียจากอุบัติเหตุ 570,000 บาท 4. ค่าความสุขที่ประชาชนได้รับ 10.2 ล้านบาท 5. ลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม 630,000 บาท
อย่างไรก็ตาม รฟม.จะดำเนินการส่งเสริมและจูงใจประชาชนใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วงเพิ่มเช่น ร่วมกับ ขสมก.ในการจัดรถ Shuttel Bus เชื่อมจากหมู่บ้านหรือชุมชนกับสถานี
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าฯรฟม. กล่าวว่า ส่วนการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ในรูปแบบตั๋วเที่ยวนั้นรฟม.ได้มีการหารือกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทานเบื้องต้น แล้ว แต่ เนื่องจากสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ยังอยู่ระหว่าการทยอยเปิดเดินรถ ซึ่งล่าสุด เปิดทดลองช่วงเตาปูน-สิรินธร และสิ้นเดือนธ.ค. นี้จะขยายจากสิรินธร-ท่าพระ ทำให้จำนวนผู้โดยสารยังไม่นิ่ง จึงต้องรอหลังเปิดให้บริการส่วนต่อขยายอย่างเป็นทางการปลายเดือนมี.ค. 2563 ก่อน จึงจะกำหนดมาตรการค่าโดยสารตั๋วเที่ยวได้
สั่งเช็กตัวเลขผู้โดยสาร รถแทรมป์ภูเก็ต”ใหม่ หวั่นประเมินสูงไป
นายสราวุธ กล่าวว่า นอกจากนี้ รฟม.ได้ รายงานผลการศึกษาโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระบบรถไฟฟ้ารางเบา (LRT/Tram) ซึ่งบอร์ดมีข้อสังเกตุเรื่องประมาณการณ์ผู้โดยสาร ที่อาจจะสูงเกินไปหรือไม่ โดยให้ประเมินพฤติกรรมการเดินทางอย่างรอบด้าน และเปรียบเทียบการเดินทางด้วยขนส่งอื่นๆ เช่น Airport Bus ผู้ใช้ที่เป็นนักท่องเที่ยว. เป็นต้นรวมถึง การเวนคืนที่ดินช่วงโค้งแยกสนามบิน ที่ยังมีข้อสังเกตุ ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าสงวนหรือไม่ เพื่อความชัดเจนและไม่เป็นปัญหาในอนาคต โดยมอบให้อนุกรรมการฯ (Executive Committee) ไปพิจารณาตัวเลข ให้ครบทุกมิติและนำเสนอ บอร์ดในเดือนม.ค.63 เพื่อพิจารณาและนำเสนอคณะกรรมการ PPP และครม.ภายในต้นปี 2563
สำหรับค่างานโยธาเพิ่มจาก 23,499 ล้านบาท เป็นกว่า 26,000 ล้านบาท งานระบบอยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ส่วนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ที่ประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท โดยคาดว่าปีแรกที่เปิดให้บริการจะมีผู้โดยสารประมาณ 39,000 คนต่อวัน