ผู้จัดการรายวัน360-"สนธิรัตน์" เร่งเครื่อง Energy for All เตรียมเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เป็นรูปธรรมในปี 63 เน้นลดค่าครองชีพคนไทย ทั้งปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เล็งดึงไฟสำรอง 30% มาใช้ลดค่าไฟให้กับรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน หวังกดค่าตั๋วลงมา พร้อมเดินหน้าดันราคาสินค้าเกษตร ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง นำผลผลิตมาใช้ทำพลังงานทดแทนและสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่วนโรงไฟฟ้าชุมชน ชง กพช. ไฟเขียว 16 ธ.ค.นี้ คาดเฟสแรกบูมลงทุน 7-8 หมื่นล้านบาท เล็งเจรจาพัฒนาปิโตรเลียมไทย-กัมพูชา
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ "นโยบายพลังงานเพื่อทุกคน" ในงานสัมมนาการสื่อสารนโยบายพลังงานสู่การปฏิบัติ ปี พ.ศ. 2563 วานนี้ (9 ธ.ค.) ว่า ได้มอบหมายให้ข้าราชการกระทรวงพลังงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพลังงานจังหวัด ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานที่มุ่งเน้นพลังงานเพื่อทุกคนหรือ Energy for All ที่มีเป้าหมายระยะสั้นในปี 2563 ให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เป็นรูปธรรม ได้แก่ การลดค่าครองชีพของประชาชนด้านพลังงาน ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้เกิดความเป็นธรรม รวมถึงเตรียมที่จะดึงไฟฟ้าสำรองที่เหลือเกินความต้องการใช้ราว 30% มาลดค่าไฟให้กับระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องนำมาลดค่าบัตรโดยสารให้กับผู้ใช้บริการ
"ได้หารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เพื่อตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน ส่วนสำรองไฟที่เหลือที่จะส่งผ่านมายังระบบขนส่งสาธารณะ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า ซึ่งเป็นทิศทางในอนาคต "นายสนธิรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการยกระดับราคาสินค้าเกษตรผ่านกลไก 3 มิติ ได้แก่ 1.พืชที่จะนำมาเป็นพลังงานชีวภาพ (ไบโอดีเซล เอทานอล) ซึ่งขณะนี้ได้กำหนดให้ดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันพื้นฐานเริ่ม 1 ม.ค.2563 แล้ว ซึ่งจะช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อยกระดับราคาปาล์ม และต่อไปจะทำในเรื่องของอ้อยและมันสำปะหลังในส่วนของเอทานอลที่จะผสมเบนซิน เพื่อยกระดับน้ำมันอี 20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งเบื้องต้นอาจจะต้องมีการลดชนิดน้ำมันกลุ่มเบนซินลง 1 ประเภท 2.พืชที่จะส่งเสริมการปลูกเพื่อนำมาเป็นพลังงานโดยเฉพาะ เช่น ไผ่ หญ้าเนเปียร์ ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และ 3.วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่จะนำมาก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มด้านพลังงาน เช่น ซังข้าวโพด
ขณะเดียวกัน ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาในวันที่ 16 ธ.ค.2562 โดยคาดว่าปี 2563 จะเกิดขึ้นเฟสแรก ทำให้เกิดการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าราว 7-8 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมาย 1,000 เมกะวัตต์ใน 3 ปี โดยรูปแบบจะมีหลายรูปแบบ กำหนดให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมขายไฟเข้าระบบได้ (On Grid) และมีการรับซื้อเชื้อเพลิงจากภาคเกษตรที่เป็นระบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง
พร้อมกันนี้ ได้มุ่งให้ผู้มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง มีไฟฟ้าใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งพื้นที่บริเวณชายขอบ ชายแดน ปลายสายส่งไฟฟ้า โดยอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบการสนับสนุนผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงการพัฒนาสถานีพลังงานชุมชนที่ไม่ขายไฟผ่านการไฟฟ้าหรือ Off grid โดยใช้โมเดลการพัฒนาชุมชนของ จ.กาญจนบุรี เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ และเชื้อเพลิงฟอสซิล มาบริหารจัดการในกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้ต่อยอดอาชีพของชุมชน
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนพลังงานยังต้องมองในเรื่องของความมั่นคงระยะยาว แม้ว่า พลังงานทดแทนจะมีศักยภาพมากขึ้น แต่ยังคงมีราคาที่สูง และยังไม่มั่นคง ดังนั้น ต้องใช้โอกาสทางยุทธศาสตร์ของไทยในการก้าวสู่ฮับภูมิภาค (Hub) ทั้งการซื้อขายไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และรวมถึงการเจรจาเพื่อการพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่มีความมุ่งมั่นจะเกิดขึ้นในปี 2563
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ "นโยบายพลังงานเพื่อทุกคน" ในงานสัมมนาการสื่อสารนโยบายพลังงานสู่การปฏิบัติ ปี พ.ศ. 2563 วานนี้ (9 ธ.ค.) ว่า ได้มอบหมายให้ข้าราชการกระทรวงพลังงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพลังงานจังหวัด ขับเคลื่อนนโยบายพลังงานที่มุ่งเน้นพลังงานเพื่อทุกคนหรือ Energy for All ที่มีเป้าหมายระยะสั้นในปี 2563 ให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เป็นรูปธรรม ได้แก่ การลดค่าครองชีพของประชาชนด้านพลังงาน ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้เกิดความเป็นธรรม รวมถึงเตรียมที่จะดึงไฟฟ้าสำรองที่เหลือเกินความต้องการใช้ราว 30% มาลดค่าไฟให้กับระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องนำมาลดค่าบัตรโดยสารให้กับผู้ใช้บริการ
"ได้หารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เพื่อตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่าน ส่วนสำรองไฟที่เหลือที่จะส่งผ่านมายังระบบขนส่งสาธารณะ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า ซึ่งเป็นทิศทางในอนาคต "นายสนธิรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการยกระดับราคาสินค้าเกษตรผ่านกลไก 3 มิติ ได้แก่ 1.พืชที่จะนำมาเป็นพลังงานชีวภาพ (ไบโอดีเซล เอทานอล) ซึ่งขณะนี้ได้กำหนดให้ดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันพื้นฐานเริ่ม 1 ม.ค.2563 แล้ว ซึ่งจะช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อยกระดับราคาปาล์ม และต่อไปจะทำในเรื่องของอ้อยและมันสำปะหลังในส่วนของเอทานอลที่จะผสมเบนซิน เพื่อยกระดับน้ำมันอี 20 เป็นน้ำมันพื้นฐาน ซึ่งเบื้องต้นอาจจะต้องมีการลดชนิดน้ำมันกลุ่มเบนซินลง 1 ประเภท 2.พืชที่จะส่งเสริมการปลูกเพื่อนำมาเป็นพลังงานโดยเฉพาะ เช่น ไผ่ หญ้าเนเปียร์ ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และ 3.วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรที่จะนำมาก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มด้านพลังงาน เช่น ซังข้าวโพด
ขณะเดียวกัน ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาในวันที่ 16 ธ.ค.2562 โดยคาดว่าปี 2563 จะเกิดขึ้นเฟสแรก ทำให้เกิดการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าราว 7-8 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมาย 1,000 เมกะวัตต์ใน 3 ปี โดยรูปแบบจะมีหลายรูปแบบ กำหนดให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมขายไฟเข้าระบบได้ (On Grid) และมีการรับซื้อเชื้อเพลิงจากภาคเกษตรที่เป็นระบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง
พร้อมกันนี้ ได้มุ่งให้ผู้มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง มีไฟฟ้าใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งพื้นที่บริเวณชายขอบ ชายแดน ปลายสายส่งไฟฟ้า โดยอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบการสนับสนุนผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวมถึงการพัฒนาสถานีพลังงานชุมชนที่ไม่ขายไฟผ่านการไฟฟ้าหรือ Off grid โดยใช้โมเดลการพัฒนาชุมชนของ จ.กาญจนบุรี เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ และเชื้อเพลิงฟอสซิล มาบริหารจัดการในกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้ต่อยอดอาชีพของชุมชน
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนพลังงานยังต้องมองในเรื่องของความมั่นคงระยะยาว แม้ว่า พลังงานทดแทนจะมีศักยภาพมากขึ้น แต่ยังคงมีราคาที่สูง และยังไม่มั่นคง ดังนั้น ต้องใช้โอกาสทางยุทธศาสตร์ของไทยในการก้าวสู่ฮับภูมิภาค (Hub) ทั้งการซื้อขายไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) และรวมถึงการเจรจาเพื่อการพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่มีความมุ่งมั่นจะเกิดขึ้นในปี 2563