อนาคตของฮ่องกงดูจะมีสภาพแจ่มใสเพียงไม่กี่วันหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น มีความสงบจนถึงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมหลายพันคนได้กลับไปลงถนนอีก ยืนยันข้อเรียกร้องเดิมต่อรัฐบาลฮ่องกง
แม้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างที่เคย ความไม่แน่นอนอนาคตของฮ่องกงก็ยังคงอยู่ มีคำถามอีกว่าจะได้เห็นความสงบสันติทางการเมืองโดยที่คนฮ่องกงกลับไปทำมาหากินตามปกติ ทำให้ฮ่องกงเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของนักชอปหรือไม่
ทุกวันนี้มีความขาดแคลน การว่างงาน ความซบเซาภาคธุรกิจบริการ เช่นโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ มีการเลิกจ้างเพราะทนกับการขาดรายได้ไม่ไหว ฮ่องกงต้องพึ่งพาอาหาร วัตถุดิบต่างๆ จากต่างประเทศ แม้แต่น้ำและไฟฟ้า
และที่สำคัญ คนฮ่องกงโดยรวมจะทำให้ฮ่องกงคืนสู่สภาพศูนย์กลางด้านการเงิน การค้า การขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ เหมือนเดิมหรือไม่ แต่เสียงเรียกร้องให้เป็นอิสระปลอดจากการควบคุม ปกครองโดยตรงของจีนนั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้
ฮ่องกงตามประวัติศาสตร์นั้นเป็นของจีน อังกฤษได้ปกครองแผ่นดินนี้ภายใต้สัญญาเช่า 99 ปี และสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 1997 เป็นสภาพที่คนฮ่องกงยอมรับและรับรู้ด้วยว่าอีกไม่กี่ปีจะสิ้นสภาพของการเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบ
ข้อเรียกร้องของผู้ประท้วงที่ให้ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดให้เสมือนหนึ่งว่าผู้ประท้วงและผู้ก่อเหตุ ไม่ได้กระทำความผิดในช่วงกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ มีความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
ความเสียหายทางกายภาพและอาคารต่างๆ ยังซ่อมแซมได้แม้จะต้องใช้เวลาและงบประมาณจำนวนมาก แต่ความร้าวฉานด้านความคิด ความรู้สึกของการเป็นปฏิปักษ์ในระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและกลุ่มผู้สนับสนุนจีนยังจะคงอยู่ต่อไป
ประเด็นการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง และการแข็งขืนจากฝ่ายรัฐบาลจีนเป็นสภาวะที่ไม่มีวันจะประสานรอยร้าวให้เชื่อมสนิทได้
การที่ผู้ประท้วงยังคงยืนหยัดชุมนุม สร้างความกดดันต่อไปเพราะรู้ดีว่าการเลิกประท้วงย่อมเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีอาญาในข้อหาร้ายแรง เช่น ทำร้ายร่างกาย ก่อการจลาจล ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ เผาสถานที่ต่างๆ และข้อหาอื่นๆ อีกมาก
ดูพฤติกรรม ความรุนแรง ล้วนแต่มีโทษจำคุกและปรับอัตราสูง ผู้ประท้วงจะไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนพลเมืองซึ่งเคารพกฎหมาย ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ การมีบัตรประจำตัว หนังสือเดินทางต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มข้น
แกนนำนักเคลื่อนไหวหลายคนได้เดินทางออกนอกประเทศแล้วเพราะดูแล้วไม่มีทางชนะ ขืนอยู่ต่อไปมีหวังไม่รอดพ้นการติดคุกเพราะคดีอาญาร้ายแรง ยิ่งมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนจีน ก็จะถูกกดดันให้ไปอยู่แผ่นดินอื่น
พวกกลุ่มประท้วงที่แสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าชื่นชมรัฐบาลสหรัฐฯ ในการออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จะถูกเพ่งเล็งและเฝ้าระวัง โอกาสที่จะเข้าทำงานในภาครัฐจะยาก ทั้งสิทธิของการเป็นประชาชนจีนในอนาคตก็ตาม
แม้จะมีความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ จากชาติตะวันตก โดยเฉพาะฝรั่งผิวขาว ก็ใช่ว่ากลุ่มผู้ประท้วงจะมีอำนาจต่อรองมาก ปัจจุบันจีนไม่ได้เกรงกลัวสหรัฐฯ ไม่ว่าจะในแสนยานุภาพ การค้า การเงิน และขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี
จีนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเหนือชั้นกว่าสหรัฐฯ ดังจะเห็นในการพัฒนาระบบโทรคมนาคม 5จี หรือมากกว่านั้นในอนาคต รวมทั้งการพัฒนาเมือง ระบบการขนส่งระบบราง ซึ่งล้ำหน้ากว่าสหรัฐฯ ด้านโครงข่าย และคุณภาพของบริการ ความเร็ว
จีนยังได้ขยายอิทธิพลผ่านด้านการค้าการลงทุน ความช่วยเหลือในหลายประเทศทั่วโลกแม้กระทั่งยุโรปก็ยังยอมรับ หันมามองฝ่ายสหรัฐฯ แม้ยังเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก แต่มีหนี้สินมหาศาล ไม่มีวันจะใช้คืนได้หมดสิ้น
การหวนกลับมาลงถนนของผู้ประท้วงอาจทำให้ผู้เคยสนับสนุนต้องประเมินกันใหม่ เพราะเคยเชื่อว่าถ้าชนะเลือกตั้งท้องถิ่นแล้วสถานการณ์จะดีขึ้น เมื่อไม่เป็นไปตามคาด บรรยากาศของความไม่แน่นอนก็จะทำให้ภาคธุรกิจมีปัญหาอีก
จะมีวิกฤตด้านความเชื่อมั่น เศรษฐกิจซึ่งอยู่ในสภาวะถดถอยมีแต่ทำให้เลวร้ายกว่าเดิม ธุรกิจการท่องเที่ยว การบิน การบริการต่างๆ จะฟื้นตัวได้ยาก ตราบใดที่ยังมีการประท้วง ความรุนแรง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจะทำให้ทรุดหนัก
คนฮ่องกงที่มีทรัพย์สินเงินทอง ความพร้อมสำหรับการอพยพโยกย้ายไปอยู่ในประเทศอื่นก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป นั่นหมายถึงการไหลออกของทรัพย์สินเงินทองและทรัพยากรมนุษย์ ฝ่ายจีนย่อมไม่ต้องการประชาชนที่มีปัญหาได้อยู่ต่อไปด้วย
จะเหลือแต่ผู้สูงอายุและผู้ไม่มีศักยภาพที่จะอยู่ในฮ่องกง เว้นแต่พวกที่จำใจยอมรับ จากนี้ไปจีนคงมุ่งพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะเสินเจิ้น ซึ่งปัจจุบันโดยสภาพของการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวล้ำหน้าฮ่องกงไปเกือบทุกด้าน
เมื่อเป็นอย่างนี้ รัฐบาลจีนก็คงจะปล่อยให้คนฮ่องกงว่ากันเอง จะเอาอย่างไรใน 3 กลุ่มคือฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย ฝ่ายสนับสนุนจีน และฝ่ายไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับใคร เท่ากับว่าเป็นสภาพที่ไม่มีใครมองออกได้ว่าอนาคตจะเป็นไปอย่างไร
เป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ผู้ที่จะรู้อนาคตของฮ่องกงคือผู้นำจีน ซึ่งมีอำนาจกำหนดเส้นทางได้ แต่ผลสุดท้ายจะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ก็ต้องดูว่าจีนพร้อมจะใช้มาตรการอะไร และจะมีการตอบโต้อย่างไร ที่ผ่านมาเป็นเหมือนยกแรกเท่านั้น