นักวิเคราะห์โลกตะวันตกมองว่าจีนกำลังเสียท่า เสียหน้าคนฮ่องกงอย่างแรงเมื่อกลุ่มคนสนับสนุนจีนพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูป ฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงข้างมากขาดลอยในการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น จะทำให้จนต้องเสียอำนาจต่อรอง และดินแดนฮ่องกง
นั่นเป็นการฝันเฟื่องหรือไม่ เพราะมีอีกฝ่ายมองว่าจีนยอมให้มีเลือกตั้งเพื่อให้กลุ่มคนประท้วงเลิกการชุมนุม ให้ทุกอย่างคืนสู่ภาวะปกติ ทำให้กลุ่มประเทศตะวันตกไม่มีทางที่จะแทรกแซงกิจการ ยุให้เผาบ้านเผาเมืองสร้างความเสียหายต่อไปอีกได้
และกลุ่มฝ่ายประชาธิปไตยก็จะไม่มีเงื่อนไขชุมนุมเรียกร้องต่อไป ต้องหยุดกิจกรรมบนท้องถนน และผู้ชนะเลือกตั้งต้องทำหน้าที่รับผิดชอบการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการประเมิน และงบประมาณที่มีอยู่
ห้างร้าน กิจการต่างๆ ในการค้า การลงทุน อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว ต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนาน กว่าคนจะให้ความเชื่อมั่น และมองว่าฮ่องกงเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ชอปปิ้ง แหล่งกิน บันเทิง มีความปลอดภัยเหมือนแต่ก่อน
คนฮ่องกง ทั้งหนุนและไม่หนุนการประท้วง จะมองหน้าตากันได้สนิทใจ ไปไหนมาได้โดยไม่มีเหตุต้องลอบทำร้ายกัน ห้างร้านเปิดอยู่จะถูกทุบทำลายด้วยแรงแค้นหรือไม่
และนักธุรกิจยังจะเชื่อมั่นในอนาคตฮ่องกงอีกหรือไม่ เพราะมองว่าจะไม่สงบยั่งยืนถาวร
บรรดาลูกจ้างจะอยู่สุขสบายรายได้มั่นคงเหมือนแต่ก่อน ได้หรือไม่ เพราะผลกระทบต่อกิจการต่างๆ โดยเฉพาะชาวต่างประเทศจากโลกตะวันตกหลายแสนคน
ที่สำคัญ เมื่อมีการสอบสวนความรุนแรงฝ่ายเจ้าหน้าที่ ฝ่ายผู้ประท้วงก่อความรุนแรง ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ก็ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี มีโทษอาญาเช่นกันเพราะไม่มีกฎหมายในประเทศใดยอมให้ใครประกอบอาชญากรรมได้
คนฮ่องกงที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนจีน ก็ไม่อยู่เหนือกฎเกณฑ์นี้ได้ ต้องรับชะตากรรม จะอ้างเป็นข้อต่อรองไม่ต้องรับผิดสำหรับอาชญากรรมไม่ได้ด้วย เมื่อไม่มีกิจกรรมที่ทำมากว่า 6 เดือน ก็เหี่ยวหุบ พวกที่โดนเลิกจ้างจะยังมีงานการทำอีกหรือไม่
เมื่อความบ้าคลั่งในการทำลายทรัพย์สินลดระดับลง แต่ละคนต้องคิดว่าจากนี้ไปจะดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร พวกที่ปรากฏตัว และถูกบันทึกภาพไว้ว่าได้กระทำผิดกฎหมายอาจสูญเสียอิสรภาพเพราะคดีอาญา จะหวังพึ่งใครให้ช่วยเหลือได้
จะหลบหนีออกนอกประเทศได้อย่างไร เพราะระบบปิดกั้นไว้หมดแล้ว!
และพวกที่มีหลักฐานการเคลื่อนไหวจะมีชีวิตอย่างไรบนแผ่นดินฮ่องกง ซึ่งอย่างไรจีนก็ไม่มีวันที่จะยอมให้เป็นดินแดนอิสระได้ ถ้ายังจะเคลื่อนไหวต่อไป ทางการจีนย่อมมีความชอบธรรมที่จะจัดการกับผู้ประท้วง ก่อเหตุร้าย เพราะไม่ยอมรับกติกาหลังเลือกตั้ง
การแสดงออกด้วยเสียงไชโยโห่ร้องว่า “เราชนะแล้ว” จึงมีแต่ความว่างเปล่า อนาคตของนักเคลื่อนไหวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร จะเป็นประชาชนจีน มีเอกสารความเป็นคนจีน หรือเลือกที่จะไปอยู่ประเทศอื่น และใครจะยอมรับง่ายๆ แม้กระทั่งสหรัฐฯ
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้ามองต่อไป และต้องดูว่าผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ จะรอดพ้นจากปัญหาซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งได้หรือไม่ เพราะหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น
ผลการสำรวจผ่านโพลทำโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งกำลังขุดคุ้ยเล่นงานทรัมป์เต็มบ้องต่อเนื่องขณะนี้ จะแม่นหรือมีอคติต่อทรัมป์หรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ระบุว่ามีคน 50 เปอร์เซ็นต์หนุนให้ถอดถอนทรัมป์ และมีเพียง 43 เปอร์เซ็นต์ ไม่อยากให้ถอดถอน
โดยพฤติกรรม คำพูด การโกหก ความหน้าทนต่อเสียงวิพากษ์ ทำให้ทรัมป์เป็นคนไร้ความน่าเชื่อถือในสายตาผู้นำประเทศอื่นๆ มีนโยบายไม่อยู่กับร่องรอย คุ้มดีคุ้มร้าย ปากร้าย หยาบคาย ขาดหลักการของการบริหาร เน้นการเอาผลประโยชน์ส่วนตน
ล่าสุด มีรายงานจากสำนักวิจัยออสเตรเลีย สถาบัน โลว์ลีย์ ซึ่งมีดัชนีประเมินกิจกรรมด้านการทูตทั่วโลก ระบุว่าจีนมีจำนวนสถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลกมากกว่าของสหรัฐฯ แล้ว และเป็นอันดับ 1 สะท้อนให้เห็นชัดด้านเชิงรุกเต็มที่ในด้านการทูต
รายงานระบุว่าจีนมีหน่วยงานด้านการทูต 276 แห่งทั่วโลก มากกว่าของสหรัฐฯ 3 แห่ง ขณะที่มีจำนวนสถานทูตเท่ากัน จีนมีหน่วยงานกงสุลมากกว่าของสหรัฐฯ ที่สำคัญงานของสถานกงสุลมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก
ฝ่ายสถานทูตมุ่งงานความสัมพันธ์ด้านการเมือง ดังนั้นสถานกงสุลของจีนได้ส่งเสริมความต้องการความเชื่อมโยง ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลให้เห็นเป็นเนื้อเป็นหนังมากกว่า ผู้นำจีน สี จิ้นผิงยกระดับของตัวเองในเวทีสากลมาโดยตลอด
ที่เห็นชัดการทำนโยบายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจนำร่องกระชับความสัมพันธ์ด้านการเมืองคือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ซึ่งให้การสนับสนุนด้านการเงินประเทศต่างๆ ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค การค้า การขนส่ง อำนวยประโยชน์ให้จีนอย่างเต็มที่
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ มีแต่ความถดถอย ก่อความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ในหลายพื้นที่
ตั้งแต่เข้าทำเนียบขาว ทรัมป์พยายามตัดงบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ จำนวนนักการทูตหลายแห่งยังว่างอยู่ ทำให้เกิดความกังวลว่าท่าทีและนโยบายของทรัมป์ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและขวัญของนักการทูต
มาอันดับ 3 คือฝรั่งเศส ซึ่งมีสำนักงานการทูต 267 แห่งทั่วโลก ตามมาด้วยญี่ปุ่น และรัสเซียอยู่ในอันดับที่ 5 แต่ในประเทศจีนมีสำนักงานการทูตจากต่างประเทศน้อยกว่าของสหรัฐฯ เพราะมีเพียง 256 แห่ง เทียบกับสหรัฐฯ ซึ่งมี 342 แห่งจาก 61 ประเทศ
งานวิจัยระบุว่าปริมาณยังต้องถูกประเมินโดยระดับคุณภาพด้วย