เอเอฟพี – จีนมีสำนักงานการทูตทั่วโลกมากกว่าสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก อ้างจากผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวันนี้ (27) อันเป็นหลักฐานล่าสุดของความทะเยอทะยานระดับโลกของปักกิ่ง
สถาบัน Lowy Institute ของออสเตรเลียรายงานว่า การขยายเครือข่ายทางการทูตอย่างรวดเร็วของจีนยังคงดำเนินต่อในปี 2019 ส่วนหลักๆ มาจากการเปิดสำนักงานการทูตในประเทศที่เคยให้การรับรองไต้หวัน
“ด้วยจำนวนสำนักงานการทูต 276 แห่งทั่วโลก นับเป็นครั้งแรกที่จีนมีสำนักงานการทูตนำเครือข่ายของสหรัฐฯ อยู่ 3 แห่ง” คณะผู้จัดทำดัชนีการทูตทั่วโลก (Global Diplomacy Index) ระบุ
ผลลัพธ์นี้อาจถูกอ่านได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแลงทางภูมิรัฐศาสตร์ ทางสถาบัน ระบุว่า การทูตของสหรัฐฯ “เข้าสู่ช่วงขาลง” เนื่องจากการตัดงบประมาณของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และปัญหาต่างๆ ที่ฉุดรั้งนักการทูตมืออาชีพเอาไว้
สหรัฐฯ ไม่ได้เปิดสำนักงานทางการทูตใหม่ๆ เลยและจำเป็นต้องปิดสถานกงสุลในเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ท่ามกลางการขับไล่นักการทูตตอบโต้กัน ภายหลังเหตุวางยาพิษอดีตสายลับรัสเซีย เซียเก สกริปัล ในอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีสถานทูตหรือสถานกงสุลตั้งอยู่มากที่สุด โดย 61 ประเทศมีสำนักงานทางการทูตในสหรัฐฯ ทั้งสิ้น 342 แห่งเทียบกับสำนักงานการทูตต่างชาติ 256 แห่งในจีน
ในขณะเดียวกัน รอยเท้าของปักกิ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยสำนักงานใหม่ที่ปรากฏในบูร์กินาฟาโซ สาธารณะรัฐโดมินิกัน เอลซัลวาดอร์ แกมเบีย และเซาตูเมและปรินซิปี ทั้งหมดเป็นอดีตพันธมิตรการทูตของไทเป
ดัชนีดังกล่าวอาจเป็นเครื่องชี้วัดอิทธิพลแบบดาดๆ จำนวนของอาคารสำนักงานทั่วโลกแทบมาได้บ่งชี้ให้เห็นว่านักการทูตที่ทำงานอยู่ที่นั่นมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่การศึกษานี้ก็แสดงให้เห็นภาพแนวโน้มทางการเมืองในมุมกว้าง
ถึงแม้ว่าจะประกาศริเริ่มนโยบาย “สหราชอาณาจักรระดับโลก” โดยปราศจากความเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่อังกฤษกลับตกลงสู่อันดับที่ 11 รองจากอิตาลี สเปน และบราซิล
ในขณะเดียวกัน ไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ได้ขยายเครือข่ายทางการทูตอีกกว่าครึ่งโหล ในฐานะส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เบร็กซิต” เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ทางการทูตและเศรษฐกิจจากการถดถอยของอังกฤษ