โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก เป็นจอมอหังการ ไร้รูปแบบนโยบายการบริหารประเทศที่อยู่ในร่องในรอย มีแต่ความฉาวโฉ่ในพฤติกรรมส่วนตัวและในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศ จะรอดสันดอนหรือไม่
นั่นเป็นคำถามโดยทั่วโปหลังจากคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนฯ นำโดยสมาชิกพรรคเดโมแครต ได้สิ้นสุดกระบวนการซักถามไต่สวนพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ เพื่อดำเนินการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง
ไม่ได้หมายความว่าสภาจะโหวตแล้วถอดถอนได้ ยังต้องมีกระบวนการอื่นๆ ถ้าผ่านลุล่วง มีหลักฐานเพียงพอสำหรับคดีอาญาจริง นั่นแหละคือจังหวะที่ทรัมป์ต้องหยุดการทำหน้าที่ พรรคเดโมแครตยังต้องเผชิญอีกหลายด่านโดยเฉพาะในวุฒิสภา
แต่การให้ปากคำเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นนักการทูต ฝ่ายข่าวกรอง ความมั่นคง ซึ่งล้วนให้ถ้อยคำหลักฐานเป็นเชิงลบต่อทรัมป์ จากข้อกล่าวหาที่ว่าทรัมป์ใช้อำนาจในทางที่ผิดกรณีสร้างเงื่อนไขสำหรับการช่วยเหลือประเทศยูเครน 400 ล้านเหรียญ
แต่แรกมีข่าวว่าทรัมป์อยากให้ผู้นำยูเครนสอบสวนนายฮันเตอร์ ไบเดน ซึ่งอยู่ในคณะกรรมการของบริษัทพลังงานแห่งหนึ่งของยูเครน ว่ามีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ฮันเตอร์เป็นบุตรของโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดียุคโอบามา
โจ ไบเดนเป็น 1 ในคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอ ดังนั้นทรัมป์ถูกสงสัยว่าเป็นผู้พยายามหาประเด็นสกปรกมาเล่นงานฮันเตอร์เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้เป็นพ่อ ดังนั้นจึงกดดันฝ่ายยูเครนให้หาเหตุต้องสอบสวนฮันเตอร์
แต่สถานการณ์ไม่เป็นใจ ผู้นำยูเครนยังไม่ทันได้ทำอะไร เรื่องก็แดง ทรัมป์จำใจต้องปล่อยให้เงินช่วยเหลือโดยไม่ได้อะไร แถมยังถูกรื้อฟื้นว่ากระทำผิดกฎหมาย เรียกร้องผู้นำต่างประเทศให้ทำอะไรเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตนเอง
การไต่สวนพยาน ซึ่งถือว่าเป็นดรามาการเมืองสไตล์อเมริกัน ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะถ่ายทอดสดผ่านทีวีหลายช่องในสหรัฐฯ และต่างประเทศ โดยเฉพาะการให้ปากคำซึ่งชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมมุ่งผลประโยชน์ส่วนตนของทรัมป์
การขอให้ยูเครนสั่งสอบสวนฮันเตอร์ แลกกับเงินความช่วยเหลือ ถูกมองว่าเป็น “quid pro quo” หรือ “ยื่นหมูยื่นแมว” หรือ “หมูไปไก่มา” นั่นเอง
ปรากฏว่าข้าราชการ นักการทูต และฝ่ายความมั่นคงหลายคนล้วนทำให้ทรัมป์ถูกมองว่าเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ เอาผลประโยชน์ส่วนตนเหนือผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทรัมป์เคยกระทำมาโดยตลอด ถูกจับได้ไล่ทันก็ไม่อาย
ทรัมป์จึงเป็นผู้นำทำเนียบขาว มีพฤติกรรม “นอกกรอบ ผิดธรรมเนียมประเพณี” ของการเมืองอเมริกัน เพราะตัวเองมาจากภาคธุรกิจ ไม่ให้ความสนใจต่อข้าราชการประจำ เจ้าหน้าที่และองค์กรของรัฐ โดยเฉพาะองค์กรด้านข่าวกรอง
พยานแต่ละคนให้ปากคำ มีพยานแวดล้อม และทั้งคำพูดจากการได้ยินทรัมป์สนทนาแบบไม่เกรงใจใคร ไม่หวั่นว่าจะเป็นหลักฐานด้านลบ หรือเป็นภัยด้านความมั่นคงจากการสอดแนมด้านข่าวกรองข้อมูลโดยหน่วยงานจารกรรมของชาติคู่แข่ง
คนทำงานให้ทรัมป์ บริวารหลายรายต้องติดคุก และรอการพิพากษา เพราะกระทำผิดกฎหมายเพื่อทรัมป์ และยิ่งการไต่สวนพยานดำเนินไป ทรัมป์ออกอาการกราดเกรี้ยวใช้ทวิตเตอร์ก่นดา ฟาดงวงฟาดงา โจมตีพยานอย่างสาดเสียเทเสีย
ในบรรดาพยาน ผู้สร้างความเสียหายด้วยคำยืนยันว่ามีสภาวะ “ต้องยื่นหมูยื่นแมว” ระหว่างความช่วยเหลือกับการสอบสวนนายฮันเตอร์ คือทูตประจำประชาคมยุโรป นายกอร์ดอน ซอนด์แลนด์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี ตั้งโดยทรัมป์
ซอนด์แลนด์ถูกมองว่าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตเพราะเคยบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สมทบให้การหาเสียงของทรัมป์ในการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสมัยแรก หลังจากเดินทางกลับไปประจำที่กรุงบรัสเซลล์ ซอนด์แลนด์บอกว่าไม่ขอลาออก
ทรัมป์จะไล่ออกหรือไม่ยังเป็นคำถาม แต่ทุกวันนี้ทรัมป์แทบไม่เหลือความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ยกเว้นผู้สนับสนุนในมลรัฐที่ทรัมป์ยังคงมีคะแนนเสียง ไม่คำนึงว่าการทำงานของทรัมป์สร้างความเสียหายหรือไม่
ที่น่าสนใจก็คือ ตลอดการไต่สวน คณะกรรมาธิการซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกันไม่ใส่ใจว่าทรัมป์ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ตามคำให้การหรือไม่ แต่ละคนล้วนพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของพยาน ซึ่งมีผลงานประวัติการทำงานโดดเด่น
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์เดียวกันที่คนได้ยินได้ฟัง รับรู้พร้อมกัน กลับถูกมองด้วยมุมมองคนละขั้วระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งเป็นแบบ “พวกใครพวกมัน” ไม่ต้องคำนึงถึงหลักฐานเหตุผลนั่นเอง เป็นรูปแบบในหลายประเทศ
ประธานกรรมาธิการคือ อดัม ชิฟฟ์ รับบทบาทได้ดี น่าเชื่อถือ เก็บอารมณ์ได้ดี ขณะที่หัวหน้าฝ่ายรีพับลิกัน นายเดวิน นูเนซ ซึ่งเป็นอดีตประธานคณะกรรมาธิการเดียวกัน แต่เสียตำแหน่งเพราะพรรคเดโมแครต ได้กุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรส
ตอนนี้นูเนซเผชิญปัญหาความน่าเชื่อถืออย่างแรงเพราะถูกเปิดโปงว่าตัวเองเป็นผู้เดินทางไปยูเครน และพบปะอัยการที่นั่นเพื่อกดดันให้สอบสวนฮันเตอร์ เท่ากับว่านูเนซมีส่วนร่วมโดยตรงในการทำผิดกฎหมายโดยทรัมป์ จะเข้าปิ้งอีกคนหรือไม่
ชะตากรรมของทรัมป์จากนี้ไปไม่สวย การหาเสียงเพื่อรักษาเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวจะถูกรบกวนอย่างหนัก โดยกระบวนการถอดถอนและข่าวเชิงลบแทบทุกนาที