เปิดฉากเมื่อวานนี้...ด้วยเรื่องแนวโน้มที่คุณพ่ออเมริกาจะกลับมา “Great Again” ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ว่าน่าจะเป็นอะไรที่เลือนรางยิ่งเข้าไปทุกที เพราะฉะนั้นวันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องลองหันไปดูการ “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของอเมริกาในภูมิภาคละตินอเมริกา หรือใน “West Hemisphere” ดูสักหน่อย ว่าจะมันจะเป็นไปในรูปไหน แนวไหน กันต่อไป...
เพราะแม้ว่าการ “รัฐประหารสมบูรณ์แบบ” ในโบลิเวีย จะทำให้ผู้ที่ต่อต้านอเมริกาแบบสุดลิ่มทิ่มกระดานมาโดยตลอด อย่าง ประธานาธิบดี “อีโว โมราเรส” ต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ เผ่นไปตั้งหลักอยู่แถวๆ เม็กซิโกโน่นเลย แต่ทุกวันนี้...นอกจากรัฐบาลชั่วคราวโบลิเวีย หรือรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร โดยมีประธานาธิบดีที่สถาปนาตัวเอง อย่าง “นางJeanine Anez” จะยังไม่สามารถรักษา “ความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์” ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ยังมีการเดินขบวน การประท้วงในเมืองต่างๆ ไม่ว่าเมืองหลวงอย่างกรุง “Lapaz” เมือง “Cochabamba” ฐานที่มั่นของชนพื้นเมืองผู้สนับสนุนประธานาธิบดีคนก่อน หยิบเอาธงของชนพื้นเมืองที่เรียกว่า “Wiphala” ออกมาโบกสะบัดกันเป็นทิวแถว แม้ถูกตำรวจ-ทหาร ฆ่าตายไปแล้วกว่า 32 ศพ บาดเจ็บไม่รู้กี่ร้อย กี่พันก็ตาม แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดฮึด หยุดสู้ อยู่จนบัดนี้...
เรียกว่า...แม้รัฐบาลชั่วคราวของ “นางAnez” จะไล่ทุบ ไล่กระทืบกันในระดับใดก็ตาม ไล่กวาดล้างเล่นงานบรรดานักการเมือง ผู้นำมวลชนไปจนถึงสื่อมวลชน ฯลฯ ชนิดระเนนระนาด โดยเฉพาะนักการเมืองในพรรค “MAS” (Movement to Socialism Party) ที่ให้การสนับสนุน “นายโมราเลส” และมีเสียงถึง 2 ใน 3 ของสภาสูง-สภาล่าง ถ้าไม่ถูกกวาดจับ ก็อาจถูกกดดันด้วยกรรมวิธีต่างๆ เช่น ไล่ให้หนีออกนอกประเทศเป็นรายๆ สื่อฯฝ่ายซ้ายอย่าง “Tele SUR” ถูกยึดคลื่น ถูกตัดเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซะดื้อๆ ผู้นำมวลชนถูกจับเข้าคุก ไปจนตั้งข้อกล่าวหา “ก่อการร้าย” และ “ปลุกระดมมวลชน” ต่ออดีตประธานาธิบดี “โมราเลส” คาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ชนิดถ้าคิดกลับมายังโบลิเวีย อาจต้องติดคุกถึง 30 ปี เอาเลยก็ไม่แน่ ฯลฯ ฯลฯ แต่กระนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังไม่ได้ “เข้าที่-เข้าทาง” แม้สภาสูงของโบลิเวีย จะเริ่มเปิดทางให้เตรียมเลือกตั้งครั้งใหม่กันบ้างแล้ว...
ดังนั้น...ความพยายามขยายขอบเขตการปัดกวาดสวนหลังบ้านของคุณพ่ออเมริกา ให้ไปไกลถึง “เวเนซุเอลา” ที่เคยง้างแล้ว ง้างอีก มาโดยตลอด มันจึงไม่ถึงกับง่ายกันสักเท่าไหร่นัก แม้จะส่ง “ชายชุดดำ” บุกเข้ายึดสถานทูตเวเนซุเอลาในโบลิเวีย และในบราซิล เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งเหตุการณ์ประท้วง...ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่เฉพาะบรรดารัฐบาลที่เป็นไม้เบื่อ ไม้เมากับคุณพ่ออเมริกาแต่เพียงเท่านั้น บรรดารัฐบาลที่ซี้แหง ย่ำปึ้ก กับอเมริกามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเอกวาดอร์ ชิลี ไปจนถึงโคลัมเบียรายล่าสุด ต่างยังต้องชุลมุนอยู่กับการ “จุดไฟในนาคร” ของบรรดามวลชนภายในประเทศ ที่ไม่คิดจะเอาด้วยกับนโยบายและมาตรการต่างๆ ตามแบบฉบับ “ลัทธิเสรีนิยม” โดยทั่วไป โคลัมเบียนั้น...เห็นว่าออกกันมาเป็นแสนหรือประมาณ 200,000 ในการประท้วงที่กรุง “Bogota” เมื่อวันพฤหัสฯ (21 พ.ย.) ที่ผ่านมา จนต้องประกาศ “เคอร์ฟิว” ครอบคลุมเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ไปเป็นชุดๆ เพื่อระงับการปล้นสะดม ฉกชิงวิ่งราว การปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำให้มีคนตายและบาดเจ็บไปแล้วร่วมร้อยๆ ราย...
พูดง่ายๆ ว่า...การประท้วงในประเทศแถบละตินอเมริกาทุกวันนี้ แทบมองไม่ออก ว่าใครเป็นใคร หรือไผเป็นไผกันแน่!!! ขณะที่อดีตประธานาธิบดี “โมราเลส” แห่งโบลิเวีย พยายามชี้นิ้วไปที่อเมริกาและลิ่วล้อ อย่างองค์กร “OAS” (The Organization of America States) อันเป็นองค์กรที่คุณพ่ออเมริกาก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 และสนับสนุนทางการเงินมาโดยตลอด ว่าเป็นผู้ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมาในโบลิเวีย โดยมีผลประโยชน์เรื่อง “แร่ลิเธียม” (Lithium) เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันในแทบทุกขั้นตอน หรือเนื่องจากรัฐบาลตัวเอง ตัดสินใจยกประโยชน์ให้กับบริษัทจีน อย่างบริษัท “TBEA Group Co Ltd” เข้ามาร่วมหุ้น ร่วมทุน ถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์กับบริษัท “YLB” ของโบลิเวีย เพื่อขุดหาแร่ลิเธียมในแหล่ง “Coipasa” และ “Pastos Grandes” ที่ว่ากันว่ามีปริมาณลิเธียมอยู่ไม่น้อยกว่า 21 ล้านตัน ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อันอาจส่งผลให้รัฐบาลอเมริกันและพวกลิ่วล้ออย่างองค์กร “OAS” ต้องพยายามหาทางไล่ถีบตัวเอง และเพื่อ “เตะตัดขา” ประเทศจีน ที่ต้องการปริมาณแร่ลิเธียมไม่น้อยไปกว่า 800,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ภายในปี ค.ศ. 2025 อะไรประมาณนั้น...
จริง-ไม่จริง...ก็ไม่รู้!!! แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การชิงไหว-ชิงพริบ ชิงพื้นที่และอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงการทหาร ของคุณพ่ออเมริกาและมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ในภูมิภาคละตินอเมริกานั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...เต็มไปด้วยการเชือดเฉือนไม่น้อยไปกว่าในภูมิภาคตะวันกลาง และนับวันจะซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ เพราะจากตัวเลขสถิติที่ “ศูนย์ศึกษาละตินอเมริกา” แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University’s Center for Latin America) ของอเมริกาเอง ได้ “ส่งสัญญาณ” เตือนไว้ในรายงานการศึกษาตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้นี่เอง ว่าถ้าหากรัฐบาลอเมริกันไม่คิดจะ “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของตัวเองซะแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะ “เสร็จจีน” หรือแม้แต่ “เสร็จรัสเซีย” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
โดยอ้างตัวเลขจาก “ธนาคารโลก” มายืนยันให้เห็นกันชัดๆ ว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว 57 เปอร์เซ็นต์ของ “สินค้าส่งออก” ทั้งหมดของประเทศในละตินอเมริกานั้น ส่งไปยังสหรัฐอเมริกาซะเป็นหลัก และ 48 เปอร์เซ็นต์ของ “สินค้าสั่งเข้า” มายังประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย ก็มาจากสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด แต่นับจากปี ค.ศ. 2017 เป็นต้นมา ตัวเลขเหล่านี้มันเริ่ม “พลิก” จากหน้ามือเป็นหลังตีนอะไรประมาณนั้น คือ 10 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าส่งออกในละตินอเมริกาถูกส่งไปให้คุณพี่จีนกันแทนที่ และกว่า18 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าสั่งเข้ามายังละตินอเมริกา ก็คือสินค้า “เมด อิน ไชน่า” เป็นแผงๆ การลงทุนของบริษัทจีนในละตินอเมริกา นับจากปี ค.ศ. 2000-2017 มีมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 109,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารจีนอย่าง “China Development Bank” และ “Export-Import Bank” ปล่อยกู้ให้กับประเทศในละตินอเมริกา เฉพาะแค่ปี ค.ศ. 2005 มากถึง 140,000 ล้านดอลลาร์ จนบางประเทศในละตินอเมริกา เจอกับ “กับดักหนี้” ของจีน เช่น เอกวาดอร์ที่ต้องกู้เงินจีนถึง 18,400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของหนี้สาธารณะกันไปแล้ว...
ขณะที่รัสเซีย...ยุคประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ก็ได้เพิ่มบทบาทด้านการทหาร การขายอาวุธ การขยายข้อตกลงทางการค้าและการทูตระดับสูง ทั้งต่อประเทศที่ต่อต้านอเมริกา เช่น คิวบา เวเนซุเอลา นิคารากัว ไปจนประเทศกลางๆ อย่างบราซิลในฐานะหนึ่งในประเทศ “BRICS” ด้วยกัน จนสวนหลังบ้านอเมริการกรุงรังไปหมดแล้ว ยิ่งในยุคของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่คิดเอาแต่ “อเมริกา...มาก่อน” ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี ด้วยมาตรการการขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าอเมริกา การตัดเงินช่วยเหลือบรรดาประเทศละตินอเมริกาที่ไม่สามารถป้องกันให้ผู้อพยพไหลเข้าอเมริกา ไปจนถึงการสร้าง “กำแพงเม็กซิโก” ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้อะไรต่อมิอะไรรกรุงรังยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น...การ “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของอเมริกา ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ มันคง “ไม่ง่าย” แบบ “ปอกกล้วยเข้าปาก” เหมือนเมื่อยุคอดีต ที่ว่ากันว่า...รัฐบาลอเมริกัน หรือหน่วยงานซีไอเอมีส่วนก่อการรัฐประหารในประเทศละตินอเมริกามากกว่า 50 ครั้งเป็นอย่างน้อย นับแต่ปี ค.ศ. 1984 เป็นต้นมา...