เริ่มแล้ว...ปฏิบัติการสยบกุมารฮ่องกง ตั้งแต่ช่วงคืนวันอาทิตย์ (17 พ.ย.) ที่ผ่านมา โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาไปลาก “ทหารจีน” เข้ามาเพ่นพ่านเอาเลยก็ยังได้ แค่ให้ใส่กางเกงขาสั้น ออกมาเก็บกวาดถนนหนทาง พอให้ “ได้ใจ” บรรดาชาวฮ่องกง “ผู้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับความวุ่นวาย” ดังที่ข้อเขียน บทความเรื่อง “Riot-weary Hongkongers clear blocked roads” ของ “Paul Muir” ได้สาธยายไว้ใน “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” และเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ได้นำมาถ่ายทอดไปเมื่อวัน-สองวันนี้ เพราะแค่อาศัยตำรวจฮ่องกงล้วนๆ ก็น่าจะ “เรียบโร้ยย์ย์ย์” โรงเรียนจีน ได้ไม่ยากส์ส์ส์...
คือสำหรับผู้คนในบ้านเราแล้ว...แทบไม่ต้องเสียเวลาติดตามข่าวคราว อัพเดตสถานการณ์แบบนาทีต่อนาที ให้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าโดยใช่เหตุ แค่ลองหลับตานึกภาพ...ย้อนกลับไปถึงฉากสถานการณ์ในกรุงเทพมหานครเมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้ว ก็น่าจะพอสรุปได้คร่าวๆ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นที่เกาะฮ่องกง ณ วินาทีนี้ และจะยุติคลี่คลายลงไปในแบบไหน อย่างไร เพราะการอาศัยกำลังตำรวจพร้อมรถหุ้มเกราะ รถดับเพลิง ฯลฯ เข้าปิดล้อมมหาวิทยาลัยฮ่องกงโพลีเทคนิค หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “PolyU” ที่ถือเป็น “ฐานบัญชาการ” สำคัญของผู้ประท้วง ตั้งแต่ช่วงทุ่มกว่าๆ ของคืนวันอาทิตย์ ล็อกทางเข้า-ทางออกในทุกๆ ด้าน ประเคนแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ฯลฯ เข้าใส่บรรดาผู้ที่คิดจะฮึดสู้ด้วยการอาศัยระเบิดเพลิง หนังสติ๊ก คันธนู ฯลฯ เป็นเครื่องมือในการตอบโต้ ยังไงๆ...มันคงไม่ต่างไปจาก “ปฏิบัติการกระชับพื้นที่” แถวๆ สวนลุมพินี ของ “คสช.” บ้านเรา เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานั่นเอง...
หรือคงอีกไม่นาน...ก็น่าจะเรียบร้อยโรงเรียนจปร.หรือโรงเรียนจีนก็แล้วแต่ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โดยที่บรรดาผู้ประท้วงนับร้อยๆ ซึ่ง “ติดกับดักตัวเอง” อยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้ ก็ดูจะออกอาการไม่ต่างอะไรไปจากบรรดาพวก “เสื้อแดง” หรือ “ชายชุดดำ” ทั้งหลายในบ้านเรานั่นแหละ คือทั้งขาดข้าว ขาดน้ำ ออกอาการขวัญหนีดีฝ่อ พอๆกับคุณน้อง “ณัฐวุฒิ สภาโจ๊ก” ขณะยืนอยู่บนเวทีราชประสงค์ แล้วได้ยินเสียงปืนดังถี่ๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จะหันไปรอกำลังเสริม กำลังสนับสนุนจากส่วนอื่นๆ ก็ดันถูก “ตัดขาด” ออกจากพื้นที่ ตามกลยุทธ์ ยุทธวิธี ในการ “ล้อมปราบ” ของบรรดาเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับการฝึก การอบรมสั่งสอนตามแบบฉบับ “มืออาชีพ” ทั้งหลาย สุดท้าย...เลยหนีไม่พ้นต้องตัดสินใจ “มอบตัว” อย่างที่หนังสือพิมพ์ “The Guardian” เขาได้นำเอาข้อเสนอของตำรวจฮ่องกงมาพาดหัวเอาไว้เมื่อวานนี้นั่นแหละว่า “Hong Kong : Police say surrender is only option for protesters” อะไรประมาณนั้น...
เพราะแม้แต่ระดับ “โจชัว หว่อง” ก็แทบช่วยอะไรไม่ได้...ได้แต่หันไปดุด่า หันไปกล่าวหารัฐบาลเยอรมนี ว่ายังไม่คิดจะเลิกฝึกอบรมให้กับทหารจีนไปโน่นเลย โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้คิดจะ “เสียงปืนดังเมื่อไหร่...ผมจะกลับมาเดินนำหน้าพี่น้องด้วยตัวเอง” เอาเลยแม้แต่น้อย เผลอๆ...อาจกำลังเตรียมพาสปอร์ตเผ่นไปอเมริกาหรือแคนาดา ก็ยังมิอาจรับรู้ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ด้วยเหตุเพราะ “การกัดกินตัวเองจากภายใน” ของบรรดาผู้ประท้วง ตลอดช่วงกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ชนิดไม่ได้สนใจว่าผู้อื่น หรือชาวฮ่องกงรายอื่นๆ จะคิดกับตัวเองยังไง เอาแต่ “แดง-ไม่แดง-ขอให้แรงเข้าไว้” ทั้งไล่ทุบ ไล่กระทืบ เผาโน่น เผานี่ กระทั่ง “ย่างสด” คนจีนด้วยกันเองแท้ๆ มันเลยส่งผลให้การประท้วงมันเลยจุดอิ่มตัว หรือเลย “ขีดจำกัด” ที่ใครต่อใครจะพอรับได้...
ลักษณะอาการของบรรดาชาวฮ่องกงที่ออกไปทางกลางๆ หรือแม้แต่ผู้ที่เคยเห็นด้วยกับการประท้วง แต่ชักเริ่มอึดอัดขัดใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ระดับบางกลุ่ม บางราย ออกอาการพอๆ กับชาวบ้านชุมชนซอยกิ่งเพชรบ้านเรา หรือชุมชนดินแดง ที่ออกมาเข็นรถแก๊สซึ่งพวก “เสื้อแดง” ขับมาจอดไว้ใกล้ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับชุมชนตัวเอง ฯลฯ มันจึงปรากฏให้เห็นค่อนข้างชัดเจน ดังรายงานที่ “นายPaul Muir” ได้ถ่ายทอดเอาไว้ และนั่นเอง...ที่ทำให้ “การใช้กำลัง” เข้าเผด็จศึกในขั้นตอนสุดท้าย จึงเป็นอะไรที่ไม่ได้เกินไปกว่าขีดความสามารถของตำรวจฮ่องกง โดยปกติ...
แต่ถ้ายังคิดจะฮึด ยังคิดจะก่อความวุ่นวายมากเกินไปกว่านี้...โอกาสที่จะต้องเจอกับการ “บดกระดูก” ตามคำกล่าวของผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ได้เตือนบรรดาผู้ที่คิดจะ “แยกแผ่นดินจีน” หรือคิดจะบ่อนทำลายโครงสร้างทางการเมือง การปกครอง แบบ “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” ย่อมต้องเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ ดังนั้น...ไม่ว่าจะมองมุมไหนต่อมุมไหน บรรดากุมารฮ่องกงทั้งหลายย่อมมีแต่ “แพ้...กับ...แพ้” วันยังค่ำ แต่ที่แพ้อย่างไม่น่าจะแพ้ ก็คือ “แพ้ทางการเมือง” อันเนื่องมาจากการ “กัดกินตัวเองจากภายใน” จะด้วยเหตุเพราะความอ่อนเยาว์ประสบการณ์ หรือเพราะความไม่รู้เรื่อง รู้ราวใดๆ ก็แล้วแต่ เลยทำให้ความพ่ายแพ้ของม็อบฮ่องกงคราวนี้ ต้องเรียกว่า...แพ้ทะรูดทะราดซะยิ่งกว่าม็อบประชาธิปไตยครั้ง “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ส่วน “ม็อบ” ที่อื่นๆ นั้น...ก็คงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป ที่ “โบลิเวีย” ถึงแม้อดีตผู้นำอย่างประธานาธิบดี “อีโว โมราเลส” จะแพ้จนต้องเผ่นหนีออกนอกประเทศไปตั้งหลักที่เม็กซิโก แต่รัฐบาลชั่วคราวที่สถาปนาตัวเองขึ้นมาใหม่ ก็ยังไม่ได้ “ชนะขาด” แต่อย่างใดถึงจะมีคุณพ่ออเมริกาให้การสนับสนุนเต็มสูบ เต็มด้าม เพราะการประท้วงของพวกชนพื้นเมืองผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีของตัวเองที่เมือง “Cochabama” เมื่อช่วงวันศุกร์ (15 พ.ย.) ที่ผ่านมา แม้ผู้ที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีชั่วคราวอย่าง “นางJeanine Anez” ที่ได้รับคะแนนเสียง คะแนนนิยมแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ในการเลือกตั้งเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะสามารถเรียกระดมทหาร ตำรวจ ใช้รถหุ้มเกราะ รถถัง ไปจนถึงเฮลิคอปเตอร์ ฯลฯ เข้าปราบ เข้ากระชับพื้นที่ แต่การที่ต้องเข่นฆ่าบรรดาผู้ประท้วงตายไปถึง 23 ราย บาดเจ็บนับพันๆ คน จนถูกเรียกว่า “การสังหารหมู่” นั้น แม้ถือเป็น “ชัยชนะทางทหาร” แต่ต้องถือเป็น “ความพ่ายแพ้ทางการเมือง” อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
และนั่นเอง...ที่ทำให้ความพยายามขยายขอบเขตชัยชนะ ให้ลุกลามต่อไปถึงเวเนซุเอลา ด้วยการอาศัยการลุกฮือของมวลชนฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีชั่วคราว อย่าง “นายฮวน กุยโด” เพื่อนำไปสู่ “การรัฐประหาร” เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เลยต้องประสบความล้มเหลวกันอีกครา แม้ว่ารองประธานาธิบดีอเมริกา “นายไมค์ เพนซ์” จะออกมาทวีต ออกมายุมาเชียร์ให้ทหารเวเนซุเอลาออกแรงโค่นประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” กันเพียงไหนก็ตาม สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะอาศัยกรรมวิธีใดๆ ก็ตามแต่ สิ่งสำคัญซึ่งมิอาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกๆ กันว่า “ความชอบธรรมทางการเมือง” หรือ “ชัยชนะทางการเมือง” นั่นเอง ไม่งั้น...อดีตผู้นำจีนอย่าง “ท่านประธานเหมา” ท่านคงไม่คิดจะสร้างวาทะเอาไว้เป็นทฤษฎี ว่าด้วย... “ชัยชนะทางการเมือง คือชนะทุกสิ่งทุกอย่าง แพ้ทางการเมืองเท่ากับแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง” นั่นแล...