ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ถึงขั้นกับเลือดตก ยางออก ตามที่หลายคนฟันธงว่า นอกจาก"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะพ้นสมาชิกสภาพ ส.ส. แล้ว จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ลามไปถึงขั้นยุบพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือครองหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด
แต่แค่ดึงเบรกมือ โดนเบาๆให้หยุดพ้นเก้าอี้ส.ส. แต่เพียงเท่านั้น ส่วนสถานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 และอื่นๆ ยังคงอยู่
เบ็ดเสร็จแล้ว ธนาธรได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 15 วัน โดยนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองให้เป็นส.ส. คือ วันที่ 8 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ถือว่า ไม่เสียหายเท่าไร เพราะยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองตามระบบได้ เพราะไม่ได้ถูกเว้นวรรค
จับสัญญาณติดเบรกธนาธร แต่พอหอมปากหอมคอ ไม่กระทำการรุนแรง แสดงว่ายังไม่ถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัยต่อฝ่ายอำนาจ สามารถปล่อยให้เริงระบำอยู่ในเส้นทางการเมืองได้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลดปล่อยเป็นอิสระ เพราะหากถอดรหัสดีๆ ทางเดินจากนี้มีแต่ “หลุมระเบิด”แทบทั้งนั้น สำหรับธนาธร
ยังไม่ต้องโยงไปถึงคดีปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ 191 ล้านบาท ที่ล่าสุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขยับอย่างมีนัยสำคัญ หลังป่าวประกาศให้พรรคสีส้มส่งเอกสาร หลักฐาน เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หลังจากคดีนี้นิ่งไปนาน จนถูกตีความว่าอาจเป็นช็อตต่อเนื่อง หลังจากคดีหุ้นสื่อวี-ลัคฯ
เอาแค่กรณีหุ้นสื่อวี-ลัคฯ ที่ใครอ่านคำวินิจฉัยแล้วหวาดเสียวแทนธนาธร เพราะกกต.เทกแอ็คชั่นทันที หลังคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เตรียมลุยสอบสวนกรณีคำร้องที่มีผู้กล่าวหาว่า นายธนาธร ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98 (3)
โดยมาตรา 151 ได้กำหนดโทษไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี
เป็นช็อตต่อเนื่อง ต่อยอดจากคำวินิจฉัยศาลฯ เพื่อมาฟัน “ธนาธร”ในคดีอาญา จุดนี้เหมือนว่าไม่มีอะไร แต่จริงๆ“หนักหน่วง”มีโทษจำคุก ต่างจากข้อกล่าวหาอื่นๆ ที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ถูกกล่าวหาก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีการเมือง โทษหนักสุดแค่“ยุบพรรค”
แต่คดีอาญา มีโทษคือ“จำคุก” และคดีนี้อาจเป็นคดีที่หนักที่สุดของธนาธร ที่ต้องจับตาว่า อาจถูกเก็บไว้เป็นฟางเส้นสุดท้าย หากอีกฝ่ายมองว่า เก็บไว้ไม่ได้อีกต่อไป และต้องการบีบให้พ้นประเทศ เหมือนกับที่สองศรีพี่น้องตระกูลชินวัตร ทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์ โดนมาแล้ว
ดังนั้น คดีอาญาน่าจะดองไว้ก่อน รอจังหวะและเงื่อนไข
กลับไปที่ประเด็นยุบพรรคอนาคตใหม่ คดีที่เข้าใกล้จุดนี้ที่สุด น่าจะเป็นการปล่อยกู้ 191 ล้านบาท ให้กับพรรค ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ที่สุด เพราะทำนอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายกำหนด
"ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ต่อสู้ในประเด็นที่ว่า เมื่อกฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ น่าจะสามารถกระทำได้ แต่ในมุมมองของอีกฝั่งดูน่าสะพรึงกว่า โดยเฉพาะ “เนติบริกร”วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ตอบคำถามเกี่ยวกับกฎหมายพรรคการเมืองเอาไว้ 2 หลัก นั่นคือ 1.ไม่ได้ห้าม เพราะฉะนั้นทำได้ และ 2.ไม่ได้อนุญาต เพราะฉะนั้นจึงทำไม่ได้
ความสองแง่สองง่ามคือ สิ่งที่ “น่ากลัว”ที่สุดสำหรับพลพรรคสีส้ม เหมือนกรณีถือหุ้นสื่อวี-ลัคฯ ของธนาธรในช่วงแรก
กูรูกฎหมายหลายคนฟันธง หากพรรคอนาคตใหม่ จะมอดม้วยมรณาด้วยกันทั้งพรรค ประเด็นกู้เงิน 191 ล้านบาท นี่แหละจะสั่นสะเทือนที่สุด
เพียงแต่ กกต.อาจจะดำเนินการไต่สวนไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไร ประหนึ่งว่าทำเก็บไว้ในสต๊อก วันใดวันหนึ่งอาจได้ใช้ เหมือนกับคดีโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มาสุกงอมในช่วงม็อบ กปปส. ขับไล่รัฐบาล
ทุกอย่างมันมีสเตปของมัน เพียงแต่ว่า จำเป็นหรือยังเท่านั้น
ซึ่งจับสัญญาณฝ่ายอำนาจน่าจะมองว่า การเมืองวันนี้พอเดินไปได้ พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมากมายนัก ภาพรวมประเทศยังอยู่ในการคอนโทรล
แม้เสียงจะปริ่มน้ำ มากกว่ากันไม่ถึง 10 เสียง แต่ 7 พรรคฝ่ายค้านเอง ก็ไม่ได้แข็ง ที่สำคัญไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งแผ่น ยังขบเหลี่ยมกันอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ที่ต่อหน้ากอดคอกันกลม แต่ลบหลังแทงกันยับ
244 เสียงของฝ่ายค้านเองก็ไม่ได้แถวตรง นอกจากปัญหาความเป็นเสถียรภาพของ 7 พรรคฝ่ายค้านแล้ว ปัญหาภายในของแต่ละพรรคก็ถือว่าหนัก แทบเอาตัวไม่รอด
พรรคเพื่อไทย มีปัญหาการยอมรับในตัวผู้นำ “เจ๊หน่อย”คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โดนสาย"เจ๊แดง" ขวางทาง ขณะเดียวกัน ท่อน้ำเลี้ยงไม่ได้เปิดมานาน ผู้บริหารพรรคไม่แยแส ปล่อยตามมีตามเกิด ทำให้หลายคนไปสุงสิงกับพรรคพวกเก่าๆ ที่แปรพักตร์ย้ายขั้วไปอีกค่าย
พรรคอนาคตใหม่ เจอปัญหาแบ่งชนชั้น อดีตผู้สมัครส.ส. ถูกลอยแพ ตามยถากรรม ส.ส.แบบแบ่งเขต เหมือนส.ส.ชั้นสอง หรือ เกรดบี สู้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไม่ได้
81 เสียงของพรรคสีส้ม ไม่ได้เป็นเอกภาพ 2 ผู้แทน คือ กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี และ จารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคอนาคตใหม่ ถูกผลักให้เป็นงูเห่า ถูกแบน ถูกบอยคอต จากสมาชิกพรรคไม่ให้สุงสิง ไม่ให้ทำกิจกรรมใดๆร่วมกับพรรค ทุกวันนี้อยู่แค่ชื่อ ผู้บริหารไม่กล้าไล่ออก เพราะเท่ากับเปิดทางให้ส.ส.ย้ายค่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปล่อยให้อึดอัดกันอยู่แบบนี้
และมีแววจะเสียเสียงส.ส.แบบแบ่งเขต ในการลงมติกฎหมายต่างๆไปให้ฝั่งรัฐบาล เพราะพรรคเป็นฝ่ายค้าน ไม่สามารถให้การช่วยเหลืออะไรได้ จนต้องไปพึ่งอีกฝั่งที่อยู่ในฐานะฝ่ายบริหาร
ดังนั้น แม้จะเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ แต่มันอยู่ในลักษณะไปได้เรื่อยๆไม่อยู่ใน“พื้นที่คับขัน”
เข้าทำนองที่ว่า ฝ่ายรัฐบาลไม่เก่ง แต่ฝ่ายค้านก็แย่ !
จับยามสามตา คิวยุบพรรค กับฟันอาญา ธนาธร ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมตัวเองทั้งสิ้น ยิ่งเกรี้ยวกราด ยิ่งปั่นป่วน จนดูสร้างปัญหา ก็เหมือนยิ่งเร่งพาตัวเองไปสู่ “ทุ่งสังหาร”เร็วขึ้นเท่านั้น