** หลังสิ้นเสียงคำแถลงวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พ้นสภาพจากความเป็น ส.ส. จากกรณีถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด เนื่องจากมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ โดยคำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นมติเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 2 ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการแต่ละท่านออกมา รวมไปถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ฉบับเต็มตามมา
อย่างไรก็ดี สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่เห็นก็คือ ไม่ยอมรับ หรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า ศาลใช้ข้อสันนิษฐานหรือความเชื่อมากกว่าพิจารณาจากข้อเท็จจริง หรือกล่าวหาศาลในทำนองว่า ไม่มีความรอบรู้หรือเข้าใจการทำธุรกิจทำให้การวินิจฉัยหลักฐานของเขาที่นำมาโต้แย้งผิดพลาด อะไรประมาณนี้ ซึ่งเป็นความเห็นแย้ง และวิพากษ์วิจารณ์ศาลฯ ทันทีโดยที่ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดศาลฯเสียด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้นเขาก็ใช้สื่อโซเชียลฯ วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญตามมาอีก ในความหมายก็คือ“ผมไม่ผิด” แต่คำตัดสินนั้นผิดพลาด โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้ข้อสันนิษฐานมากกว่าพิจารณาจากเอกสารอ้างอิงของเขา จากความเป็นจริงอะไรประมาณนั้น พร้อมยืนยันว่าเขาจะนำพรรคอนาคตใหม่ ต่อสู้ต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
แน่นอนว่าหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดังกล่าวจะเห็นว่าเขายังเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในทางการเมืองนับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันกฎหมายเพื่อลดบทบาทกองทัพ การลดความเหลื่อมล้ำ ที่เขามองว่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศและความเท่าเทียม เป็นต้น
**แต่หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่ง ที่มองแบบเข้าใจและมองเข้าไปในหัวใจของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ย่อมต้องเห็นใจเขาอย่างยิ่ง เพราะนับจากนี้ไปเขาไม่อาจหยุดได้แล้ว ไม่ว่าอยากจะหยุดหรือไม่ก็ตาม เพราะสถานการณ์ในเวลานี้สำหรับเขาถือว่า “เหนือการควบคุม”ทุกอย่างได้เดินมาไกลจนไม่อาจหันหลังกลับไปจุดเดิมได้แล้ว เป็น“วิบากกรรม”ที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เริ่มตั้งแต่หลังจากสิ้นเสียงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้าทันที โดยเฉพาะในทางคดีอาญาที่ตามมาโดยอัตโนมัติ เริ่มจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มประชุมพิจารณาความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตา 151 ทันที
โดยมาตราดังกล่าว กำหนดโทษเอาไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งกระบวนการทางคดีอาญาดังกล่าวเริ่มเดินแล้ว โดยทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะต้องเดินหน้าต่อ แม้ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ก็คือผลกระทบที่กำลังเกิดกับพรรคอนาคตใหม่ นั่นคือ กำลังจะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องในกรณีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคจำนวน 191 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดทาง กกต.เร่งให้พรรคอนาคตใหม่ส่งหลักฐานเอกสารมาชี้แจงโดยด่วน โดยระบุว่า เข้าข่ายความผิดในประเภทข้อห้ามที่เกี่ยวกับการบริจาคเงินเกิน 10 ล้านบาทต่อคนต่อปี
แม้ว่า ธนาธร จะอ้างว่า เงินกู้ของพรรคไม่ใช่รายได้ แต่ถือว่าเป็นหนี้ ก็ไม่ผิด แต่เมื่อมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับการห้ามบริจาคเกิน 10 ล้านบาท ความหมายก็คือ เพื่อป้องกันการ“ครอบงำพรรค”จากนายทุนเจ้าของพรรคเหมือนในอดีต ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในความเข้าใจของสังคมภายนอกก็มองไม่ต่างจากการเป็นเจ้าของพรรคอนาคตใหม่นั่นแหละ ทั้งที่ตั้งที่ทำการพรรคอยู่ในอาคารเดียวกับ บริษัทไทยซัมมิทฯ ที่เป็นธุรกิจของครอบครัว เป็นต้น
อีกทั้งในทางกฎหมายพรรคการเมืองก็ไม่ได้กำหนดในเรื่องให้มีการกู้เงิน แม้ว่าจะมีนักกฎหมายของพรรคพยายามอ้างว่า เมื่อกฎหมายไม่ได้ห้าม นั่นก็แสดงว่าทำได้ ก็ว่ากันไป ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีนี้หากมีความผิดขึ้นมา นั่นก็หมายความว่า “ตายยกเข่ง” กันเลยทีเดียว เพราะต้องถูกยุบพรรค และคงไม่อาจไปกล่าวโทษใครได้ว่า “ถูกกลั่นแกล้ง”เนื่องจากเป็นเพราะคำพูดของตัวเองที่ไปเปิดเผยออกมาเอง อาจเป็นเพราะต้องการ “โชว์”อะไรบางอย่างเหมือนกับกรณี “ทำบลายด์ทรัสต์”ที่ต่อมาก็มีการเปิดโปงว่า ไม่ได้ดำเนินการตามที่พูด
**ดังนั้น หากพิจารณากันตามความเป็นจริง สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตามข้อมูลระบุว่า มีคดีอยู่ถึง
25 คดี ซึ่งส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดล้วนเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ต้องเดินหน้าสถานเดียว ไม่ว่าเจ้าตัวอยากจะหยุดก็คงหยุดไม่ได้ เพราะสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ถือว่า “อยู่เหนือการควบคุม”แล้ว ทุกอย่างต้องปล่อยให้มันเป็นไป เหลือเพียงแต่ว่าจะผ่อนให้เบา หรือจะเล่นเกมแรงเสี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง !!
อย่างไรก็ดี สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่เห็นก็คือ ไม่ยอมรับ หรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า ศาลใช้ข้อสันนิษฐานหรือความเชื่อมากกว่าพิจารณาจากข้อเท็จจริง หรือกล่าวหาศาลในทำนองว่า ไม่มีความรอบรู้หรือเข้าใจการทำธุรกิจทำให้การวินิจฉัยหลักฐานของเขาที่นำมาโต้แย้งผิดพลาด อะไรประมาณนี้ ซึ่งเป็นความเห็นแย้ง และวิพากษ์วิจารณ์ศาลฯ ทันทีโดยที่ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดศาลฯเสียด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้นเขาก็ใช้สื่อโซเชียลฯ วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญตามมาอีก ในความหมายก็คือ“ผมไม่ผิด” แต่คำตัดสินนั้นผิดพลาด โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้ข้อสันนิษฐานมากกว่าพิจารณาจากเอกสารอ้างอิงของเขา จากความเป็นจริงอะไรประมาณนั้น พร้อมยืนยันว่าเขาจะนำพรรคอนาคตใหม่ ต่อสู้ต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
แน่นอนว่าหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดังกล่าวจะเห็นว่าเขายังเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในทางการเมืองนับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันกฎหมายเพื่อลดบทบาทกองทัพ การลดความเหลื่อมล้ำ ที่เขามองว่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศและความเท่าเทียม เป็นต้น
**แต่หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่ง ที่มองแบบเข้าใจและมองเข้าไปในหัวใจของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ย่อมต้องเห็นใจเขาอย่างยิ่ง เพราะนับจากนี้ไปเขาไม่อาจหยุดได้แล้ว ไม่ว่าอยากจะหยุดหรือไม่ก็ตาม เพราะสถานการณ์ในเวลานี้สำหรับเขาถือว่า “เหนือการควบคุม”ทุกอย่างได้เดินมาไกลจนไม่อาจหันหลังกลับไปจุดเดิมได้แล้ว เป็น“วิบากกรรม”ที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เริ่มตั้งแต่หลังจากสิ้นเสียงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้าทันที โดยเฉพาะในทางคดีอาญาที่ตามมาโดยอัตโนมัติ เริ่มจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มประชุมพิจารณาความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตา 151 ทันที
โดยมาตราดังกล่าว กำหนดโทษเอาไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งกระบวนการทางคดีอาญาดังกล่าวเริ่มเดินแล้ว โดยทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะต้องเดินหน้าต่อ แม้ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ก็คือผลกระทบที่กำลังเกิดกับพรรคอนาคตใหม่ นั่นคือ กำลังจะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องในกรณีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคจำนวน 191 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดทาง กกต.เร่งให้พรรคอนาคตใหม่ส่งหลักฐานเอกสารมาชี้แจงโดยด่วน โดยระบุว่า เข้าข่ายความผิดในประเภทข้อห้ามที่เกี่ยวกับการบริจาคเงินเกิน 10 ล้านบาทต่อคนต่อปี
แม้ว่า ธนาธร จะอ้างว่า เงินกู้ของพรรคไม่ใช่รายได้ แต่ถือว่าเป็นหนี้ ก็ไม่ผิด แต่เมื่อมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับการห้ามบริจาคเกิน 10 ล้านบาท ความหมายก็คือ เพื่อป้องกันการ“ครอบงำพรรค”จากนายทุนเจ้าของพรรคเหมือนในอดีต ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในความเข้าใจของสังคมภายนอกก็มองไม่ต่างจากการเป็นเจ้าของพรรคอนาคตใหม่นั่นแหละ ทั้งที่ตั้งที่ทำการพรรคอยู่ในอาคารเดียวกับ บริษัทไทยซัมมิทฯ ที่เป็นธุรกิจของครอบครัว เป็นต้น
อีกทั้งในทางกฎหมายพรรคการเมืองก็ไม่ได้กำหนดในเรื่องให้มีการกู้เงิน แม้ว่าจะมีนักกฎหมายของพรรคพยายามอ้างว่า เมื่อกฎหมายไม่ได้ห้าม นั่นก็แสดงว่าทำได้ ก็ว่ากันไป ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีนี้หากมีความผิดขึ้นมา นั่นก็หมายความว่า “ตายยกเข่ง” กันเลยทีเดียว เพราะต้องถูกยุบพรรค และคงไม่อาจไปกล่าวโทษใครได้ว่า “ถูกกลั่นแกล้ง”เนื่องจากเป็นเพราะคำพูดของตัวเองที่ไปเปิดเผยออกมาเอง อาจเป็นเพราะต้องการ “โชว์”อะไรบางอย่างเหมือนกับกรณี “ทำบลายด์ทรัสต์”ที่ต่อมาก็มีการเปิดโปงว่า ไม่ได้ดำเนินการตามที่พูด
**ดังนั้น หากพิจารณากันตามความเป็นจริง สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตามข้อมูลระบุว่า มีคดีอยู่ถึง
25 คดี ซึ่งส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดล้วนเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ต้องเดินหน้าสถานเดียว ไม่ว่าเจ้าตัวอยากจะหยุดก็คงหยุดไม่ได้ เพราะสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ถือว่า “อยู่เหนือการควบคุม”แล้ว ทุกอย่างต้องปล่อยให้มันเป็นไป เหลือเพียงแต่ว่าจะผ่อนให้เบา หรือจะเล่นเกมแรงเสี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง !!