เมืองไทย 360 องศา
หลังสิ้นเสียงคำแถลงวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พ้นสภาพจากความเป็น ส.ส.จากกรณีถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด เนื่องจากมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ โดยคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นมติเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 2 ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการแต่ละท่านออกมา รวมไปถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มตามมา
อย่างไรก็ดี สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่เห็น ก็คือ ไม่ยอมรับหรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าศาลใช้ข้อสันนิษฐาน หรือความเชื่อมากกว่าพิจารณาจากข้อเท็จจริง หรือกล่าวหาศาลในทำนองว่าไม่มีความรอบรู้ หรือเข้าใจการทำธุรกิจทำให้การวินิจฉัยหลักฐานของเขาที่นำมาโต้แย้งผิดพลาด อะไรประมาณนี้ ซึ่งเป็นความเห็นแย้ง และวิพากษ์วิจารณ์ศาลทันทีโดยที่ยังไม่ทันก้าวพ้นบันไดศาลเสียด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้น เขาก็ใช้สื่อโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญตามมาอีก ในความหมายก็คือ “ผมไม่ผิด” แต่คำตัดสินนั้นผิดพลาด โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้ข้อสันนิษฐานมากกว่าพิจารณาจากเอกสารอ้างอิงของเขาจากความเป็นจริงอะไรประมาณนั้น พร้อมยืนยันว่า เขาจะนำพรรคอนาคตใหม่ต่อสู้ต่อไป โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดังกล่าว จะเห็นว่า เขายังเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในทางการเมืองนับจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ การผลักดันกฎหมายเพื่อลดบทบาทกองทัพ การลดความเหลื่อมล้ำ ที่เขามองว่าเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศและความเท่าเทียม เป็นต้น
แต่หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่ง ที่มองแบบเข้าใจและมองเข้าไปในหัวใจของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ย่อมต้องเห็นใจเขาอย่างยิ่ง เพราะนับจากนี้ไปเขาไม่อาจหยุดได้แล้ว ไม่ว่าอยากจะหยุดหรือไม่ก็ตาม เพราะสถานการณ์ในเวลานี้สำหรับเขาถือว่า “เหนือการควบคุม” ทุกอย่างได้เดินมาไกลจนไม่อาจหันหลังกลับไปจุดเดิมได้แล้ว เป็น “วิบากกรรม” ที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
เริ่มตั้งแต่หลังจากสิ้นเสียงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้าทันทีโดยเฉพาะในทางคดีอาญาที่ตามมาโดยอัตโนมัติ เริ่มจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มประชุมพิจารณาความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตา 151 ทันที
โดยมาตราดังกล่าวกำหนดโทษเอาไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งกระบวนการทางคดีอาญาดังกล่าวเริ่มเดินแล้ว โดยทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเริ่มประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะต้องเดินหน้าต่อ แม้ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ก็คือ ผลกระทบที่กำลังเกิดกับพรรคอนาคตใหม่ นั่นคือ กำลังจะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องในกรณีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคจำนวน 191 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด ทาง กกต.เร่งให้พรรคอนาคตใหม่ส่งหลักฐานเอกสารมาชี้แจงโดยด่วน โดยระบุว่า เข้าข่ายความผิดในประเภทข้อห้ามที่เกี่ยวกับการบริจาคเงินเกิน 10 ล้านบาทต่อคนต่อปี
แม้ว่า ธนาธร จะอ้างว่า เงินกู้ของพรรคไม่ใช่รายได้ แต่ถือว่าเป็นหนี้ ก็ไม่ผิด แต่เมื่อมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับการห้ามบริจาคเกิน 10 ล้านบาท ความหมายก็คือเพื่อป้องกันการ “ครอบงำพรรค” จากนายทุนเจ้าของพรรคเหมือนในอดีต ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในความเข้าใจของสังคมภายนอกก็มองไม่ต่างจากการเป็นเจ้าของพรรคอนาคตใหม่นั่นแหละ ทั้งที่ตั้งที่ทำการพรรคอยู่ในอาคารเดียวกับบริษัทไทยซัมมิท ที่เป็นธุรกิจของครอบครัว เป็นต้น
อีกทั้งในทางกฎหมายพรรคการเมืองก็ไมได้กำหนดในเรื่องให้มีการกู้เงิน แม้ว่าจะมีนักกฎหมายของพรรคพยายามอ้างว่า เมื่อกฎหมายไม่ได้ห้าม นั่นก็แสดงว่า ทำได้ ก็ว่ากันไป ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีนี้หากมีความผิดขึ้นมา นั่นก็หมายความว่า “ตายยกเข่ง” กันเลยทีเดียว เพราะต้องถูกยุบพรรค และคงไม่อาจไปกล่าวโทษใครได้ว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” เนื่องจากเป็นเพราะคำพูดของตัวเองที่ไปเปิดเผยออกมาเอง อาจเป็นเพราะต้องการ “โชว์” อะไรบางอย่างเหมือนกับกรณี “ทำบลายด์ทรัสต์” ที่ต่อมาก็มีการเปิดโปงว่าไม่ได้ดำเนินการตามที่พูด
ดังนั้น หากพิจารณากันตามความเป็นจริง สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้ ยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตามข้อมูลระบุว่า มีคดีอยู่ถึง 25 คดี ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดล้วนเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ต้องเดินหน้าสถานเดียว ไม่ว่าเจ้าตัวอยากจะหยุดก็คงหยุดไม่ได้ เพราะสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ถือว่า “อยู่เหนือการควบคุม” แล้ว ทุกอย่างต้องปล่อยให้มันเป็นไป เหลือเพียงแต่ว่าจะผ่อนให้เบาหรือจะเล่นเกมแรงเสี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าเท่านั้นเอง !!