**หากนับจากกำหนดการวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดีถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ของ "นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ต้องถือว่าเป็นการนับถอยหลังแล้วว่า ผลจะออกมาแบบไหน เป็นบวกหรือลบ ซึ่งเมื่อพิจารณาตามรูปการณ์และอาการดิ้นรนของเจ้าตัวก็พอจะรู้แล้วว่า ชะตากรรมของเขาจะออกมา ในทางไหน
ที่ผ่านมาประเด็นสำคัญที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เขาได้โอนหุ้นหรือขายหุ้นออกไปก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง หากพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็น“เรื่องใหญ่”ย่อมมีผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขาต้องสะดุดลงทันที และจะมีหลายคดีอาญาตามมาอีก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น เพราะหากมีความผิดจริง นั่นก็หมายถึงว่าต้อง “ไปทั้งยวง”กันเลยทีเดียว
สำหรับคดีถือหุ้นสื่อ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยในวันที่ 20 พฤศจิกายน ก็อย่างที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเมื่อพิจารณากันตามรูปการณ์ และอาการเคลื่อนไหวแบบร้อนรนในช่วงไม่กี่วันก่อนวันตัดสินคดี ก็พอคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้วว่า “อาการหนัก”เลยทีเดียว ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักกฎหมาย หรือกูรูทั้งหลาย ที่มีความเห็นในทางเดียว กันว่า“รอดยาก” โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน และการใช้เอกสารหลักฐานมาชี้แจง ที่หลายคนมองว่ายังเบาหวิว
สิ่งที่เห็นจากการชี้แจงในวันไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องคือ ธนาธร เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ เขาก็ได้แต่ยืนยันด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่า “จำไม่ได้”หรือไม่ก็พยายามกล่าวให้เห็นว่า เขาไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบนำเช็คจากการขายหุ้นไปเข้าบัญชี เป็นต้น
**อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือในช่วงสองสามวันมานี้ ก่อนหน้าที่จะมีการตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ เขากับพวกก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ที่ต้องบอกว่านี่อาจเป็นการ “ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย”โดยใช้พลังจากภายนอกเข้ามากดดัน
หลายคนมองออกว่าการจัดงานรวมพลัง “คนอยู่ไม่เป็น”เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่มีแกนนำคนสำคัญไม่ว่าจะเป็น “คู่หู”คนสำคัญ ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พยายามเน้นย้ำให้เห็นเพียงว่า สาเหตุสำคัญที่พวกเขาโดนหลายคดีในเวลานี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านผู้มีอำนาจ เช่น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) เรื่อยมา น่าจะเป็นการแสดงพลังเพื่อ“ต่อรอง”กดดันบางอย่างหรือเปล่า
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกเรื่องทุกคดีที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นตอมาจากตัวเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถือหุ้นสื่อ สาเหตุที่แท้จริงอาจเป็นเพราะเกิดการ“หลงลืม”หรือไม่ ก็สุดจะคาดเดา แล้วถูกเปิดโปงโดยสำนักข่าวอิศรา ที่เสนอข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวน นำเอกสารมาเปิดโปง แต่เมื่อใช้วิธีการต่อสู้ในแบบที่เป็นอยู่ มันก็เหมือนกับการเดินหน้าเข้ารกเข้าพงลึกไปเรื่อยหรือเปล่า
ขณะที่อีกคดีที่กำลังจะตามมาติดๆ ก็คือคดี “ปล่อยกู้”ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ในวงเงินราว 191 ล้านบาท เจ้าตัวคือ ธนาธร เองนั่นแหละ ที่เป็นคนเปิดขึ้นมา จากการไปคุยในสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศฟังเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งในตอนแรกอาจมีเป้าหมายโจมตีรัฐธรรมนูญ หรือ คสช.ในทำนองว่า ออกกฎหมายปิดทาง หรือเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น จนไม่อาจระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการของพรรคอนาคตใหม่ได้ทัน ตัวเขาจึงต้องปล่อยกู้ให้กับพรรค เพื่อให้สามารถดำเนินการทางการเมืองได้สะดวก ความหมายก็คือ ต้องการ “โชว์” ให้เห็นแบบเปิดเผย
เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่ “แสดงโชว์”กันใหญ่โตเมื่อครั้งทำ “บลายด์ทรัสต์”แต่ก็ปรากฏความจริงในภายหลัง หลังจากต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่าเขายังไม่ได้โอนหุ้นและทรัพย์สินออกไปเข้ากองทุนเพื่อให้บริหารแทนตามที่เคยแถลงเอาไว้แต่อย่างใด
**และเมื่อพูดถึงเรื่องปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ที่เหมือนกับ“ปากพาจน”ได้อีกเรื่องหนึ่ง เพราะล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส่งเอกสารชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องการปล่อยกู้เงินให้กับพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากส่อมีความผิด โดยเฉพาะในเรื่องการบริจาคเงินให้พรรคเกินสิบล้านบาท
ดังนั้น ถึงได้บอกว่านาทีนี้สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวก ถือว่ามีแนวโน้มออกไปทาง“สาหัส”จริงๆ เอาแค่คดีแรกที่จะวินิจฉัยกันในวันนี้ หากออกมาในทางลบ ผลกระทบก็จะตามมาเป็นพรวน ทั้งเสี่ยงโทษจำคุก และถูกตัดสิทธิ์ทางกรเมือง ขณะที่คดีปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่กรณีต่อเนื่องจากคดีแรกที่มีการพิสูจน์แล้วพบว่าเมื่อรู้ความผิดหรือขาดคุณสมบัติแล้วยังลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งยังอนุมัติส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง มันก็เสี่ยงต่อความผิดถึงขั้นอาจถูกสั่งยุบพรรคตามมาได้อีก
** ก็ได้แต่ภาวนาว่าผลทุกอย่างจะออกมาในทางบวกเท่านั้น !!
ที่ผ่านมาประเด็นสำคัญที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เขาได้โอนหุ้นหรือขายหุ้นออกไปก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง หากพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเป็น“เรื่องใหญ่”ย่อมมีผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขาต้องสะดุดลงทันที และจะมีหลายคดีอาญาตามมาอีก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น เพราะหากมีความผิดจริง นั่นก็หมายถึงว่าต้อง “ไปทั้งยวง”กันเลยทีเดียว
สำหรับคดีถือหุ้นสื่อ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยในวันที่ 20 พฤศจิกายน ก็อย่างที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเมื่อพิจารณากันตามรูปการณ์ และอาการเคลื่อนไหวแบบร้อนรนในช่วงไม่กี่วันก่อนวันตัดสินคดี ก็พอคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้วว่า “อาการหนัก”เลยทีเดียว ซึ่งก็สอดคล้องกับความเห็นของบรรดานักกฎหมาย หรือกูรูทั้งหลาย ที่มีความเห็นในทางเดียว กันว่า“รอดยาก” โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากหลักฐาน และการใช้เอกสารหลักฐานมาชี้แจง ที่หลายคนมองว่ายังเบาหวิว
สิ่งที่เห็นจากการชี้แจงในวันไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องคือ ธนาธร เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ เขาก็ได้แต่ยืนยันด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่า “จำไม่ได้”หรือไม่ก็พยายามกล่าวให้เห็นว่า เขาไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบนำเช็คจากการขายหุ้นไปเข้าบัญชี เป็นต้น
**อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือในช่วงสองสามวันมานี้ ก่อนหน้าที่จะมีการตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ เขากับพวกก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ที่ต้องบอกว่านี่อาจเป็นการ “ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย”โดยใช้พลังจากภายนอกเข้ามากดดัน
หลายคนมองออกว่าการจัดงานรวมพลัง “คนอยู่ไม่เป็น”เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่มีแกนนำคนสำคัญไม่ว่าจะเป็น “คู่หู”คนสำคัญ ทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่พยายามเน้นย้ำให้เห็นเพียงว่า สาเหตุสำคัญที่พวกเขาโดนหลายคดีในเวลานี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านผู้มีอำนาจ เช่น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) เรื่อยมา น่าจะเป็นการแสดงพลังเพื่อ“ต่อรอง”กดดันบางอย่างหรือเปล่า
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกเรื่องทุกคดีที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นตอมาจากตัวเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถือหุ้นสื่อ สาเหตุที่แท้จริงอาจเป็นเพราะเกิดการ“หลงลืม”หรือไม่ ก็สุดจะคาดเดา แล้วถูกเปิดโปงโดยสำนักข่าวอิศรา ที่เสนอข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวน นำเอกสารมาเปิดโปง แต่เมื่อใช้วิธีการต่อสู้ในแบบที่เป็นอยู่ มันก็เหมือนกับการเดินหน้าเข้ารกเข้าพงลึกไปเรื่อยหรือเปล่า
ขณะที่อีกคดีที่กำลังจะตามมาติดๆ ก็คือคดี “ปล่อยกู้”ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ในวงเงินราว 191 ล้านบาท เจ้าตัวคือ ธนาธร เองนั่นแหละ ที่เป็นคนเปิดขึ้นมา จากการไปคุยในสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศฟังเมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งในตอนแรกอาจมีเป้าหมายโจมตีรัฐธรรมนูญ หรือ คสช.ในทำนองว่า ออกกฎหมายปิดทาง หรือเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น จนไม่อาจระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการของพรรคอนาคตใหม่ได้ทัน ตัวเขาจึงต้องปล่อยกู้ให้กับพรรค เพื่อให้สามารถดำเนินการทางการเมืองได้สะดวก ความหมายก็คือ ต้องการ “โชว์” ให้เห็นแบบเปิดเผย
เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่ “แสดงโชว์”กันใหญ่โตเมื่อครั้งทำ “บลายด์ทรัสต์”แต่ก็ปรากฏความจริงในภายหลัง หลังจากต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่าเขายังไม่ได้โอนหุ้นและทรัพย์สินออกไปเข้ากองทุนเพื่อให้บริหารแทนตามที่เคยแถลงเอาไว้แต่อย่างใด
**และเมื่อพูดถึงเรื่องปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ ที่เหมือนกับ“ปากพาจน”ได้อีกเรื่องหนึ่ง เพราะล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส่งเอกสารชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องการปล่อยกู้เงินให้กับพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากส่อมีความผิด โดยเฉพาะในเรื่องการบริจาคเงินให้พรรคเกินสิบล้านบาท
ดังนั้น ถึงได้บอกว่านาทีนี้สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวก ถือว่ามีแนวโน้มออกไปทาง“สาหัส”จริงๆ เอาแค่คดีแรกที่จะวินิจฉัยกันในวันนี้ หากออกมาในทางลบ ผลกระทบก็จะตามมาเป็นพรวน ทั้งเสี่ยงโทษจำคุก และถูกตัดสิทธิ์ทางกรเมือง ขณะที่คดีปล่อยกู้ให้พรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่กรณีต่อเนื่องจากคดีแรกที่มีการพิสูจน์แล้วพบว่าเมื่อรู้ความผิดหรือขาดคุณสมบัติแล้วยังลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งยังอนุมัติส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง มันก็เสี่ยงต่อความผิดถึงขั้นอาจถูกสั่งยุบพรรคตามมาได้อีก
** ก็ได้แต่ภาวนาว่าผลทุกอย่างจะออกมาในทางบวกเท่านั้น !!