เมืองไทย 360 องศา
ก็ถือว่าจบสิ้นไปแล้วในทางการเมืองสำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สิ้นสภาพ ส.ส.เนื่องจากมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญจากกรณีถูกร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด โดยศาลได้ชี้ให้เห็นว่าข้ออ้างของ ผู้ถูกร้องคือ ธนาธร ที่ยกมาทั้งหมดนั้นฟังไม่ขึ้น
เอาเป็นว่ารายละเอียด และการสรุปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่อธิบายเป็นข้อๆอย่างชัดเจนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรบ้างจะตามมา ไม่ใช่มโนหรือคิดเองเออเอง หรือไม่ได้เกี่ยวกับการที่ทำตัวเป็นนักต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หรือผู้มีอำนาจตามที่ชอบอ้างมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วสรุปก็คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สิ้นสภาพการเป็น ส.ส.มาตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และวันที่ทำให้ ส.ส.ว่างลงคือตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 อันเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยในกรณีดังกล่าว
ก็เป็นอันว่าจบสำหรับการเป็น ส.ส.ของ ธนาธร ที่ถือว่าเป็น “ดาบแรก” ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย หากพิจารณาจากพยานหลักฐานและแนวทางการต่อสู้ของพวกเขาในช่วงที่ผ่านมา เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเอกสารทางราชการที่ต้องบันทึกวันเวลากันชัดเจนที่ใช้อ้างอิงปฏิเสธกันยาก อย่างไรก็ดีนี่เป็นเพียง “ดาบแรก” เท่านั้นที่เขาต้องเจอ เพราะหลังจากนี้จะต้องกับ “ดาบสอง” ที่น่าจะสาหัสยิ่งกว่า เพราะนั่นหมายถึงการเสี่ยงคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอีกไม่เกิน 20 ปี รวมไปถึงค่าปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท หากมีการพิสูจน์ความผิดตามมาตรา 151 ที่ระบุว่าผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องเสนอเรื่องศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไปหลังจากนี้ต่อไป
ซึ่ง “ดาบสอง”ที่ว่านี่แหละหนาวยิ่งกว่า เพราะนอกจากเจ้าตัวจะเสี่ยงกับคุกตะรางและการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองยาวนานแล้ว พรรคอนาคตใหม่ยังเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคตามมาอีกด้วย เพราะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะหัวหน้าพรรคได้เซ็นต์รับรองให้ลูกพรรคได้สมัครรับเลือกตั้งอีกด้วย แม้ว่าในเวลานี้เขายังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่อยู่ก็ตาม ตราบใดที่ กกต.ยังไม่ได้ยื่นคำร้องไปถึงศาลฎีกาฯและจนกว่าศาลจะตัดสินออกมา
นี่ว่ากันเฉพาะคดีถือหุ้นสื่อเรื่องเดียวก่อน ยังไม่นับเรื่องการปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท ที่คดีเริ่มเดินหน้าแล้ว เมื่อล่าสุดทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ส่งหนังสือให้พรรคอนาคตใหม่ส่งเอกสารชี้แจงมาโดยด่วน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเสี่ยงกระทบกับพรรคถึงขั้นยุบพรรคเลยทีเดียว จากกรณีที่มีการบริจาค หรือการให้เงินกับพรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่ไปต่อต้าน คสช.หรือผู้มีอำนาจใดๆเลย แต่เป็นเพราะเขาต้องการ “โชว์” ออกมาเอง ก็ต้องต่อสู้กันไป และเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะสรุปผลออกมา ก็ต้องว่ากันไป
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องการ “โฟกัส” ให้เห็นเป็นการเฉพาะในวันที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีถือหุ้นสื่อ ทั้งในช่วงก่อนและหลังมีคำวินิจฉัยออกมาก็คือ “พลังมวลชน” ที่ออกมาให้กำลังใจ หรือการสร้างบรรยากาศการเพื่อแสดงพลังออกมาก่อนหน้านี้ มีการแสดงออกมาให้เห็นชัดได้เลยว่าเขา “ถูกโดดเดี่ยว”
สัญญาณที่แสดงออกมาให้เห็นก็น่าจะเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน ที่มีการจัดงาน รวมพลัง “คนอยู่ไม่เป็น” ที่แม้ว่าจะมีคนไปร่วมนับพันคน แต่หากวัดกันตามกระแสแล้วก็ต้องพูดกันตรงๆว่ามัน “จืดชืด” กร่อยมาก ความหมายก็คือ “ปลุกไม่ขึ้น” จะเรียกอย่างนั้นก็ได้
และที่น่าสังเกตก็คือ ในซีกของมวลชนจากพรรคเพื่อไทย ในเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกนักการเมือง แกนนำคนเสื้อแดง ที่ “วางเฉย” เงียบกริบ ไม่มีใครออกมาให้ความเห็นช่วยเหลือ ธนาธร เลยแม้แต่คนด้วย ในทางตรงกันข้ามกลับมีการออกมาพูดจากระแนะกระแน หรือมีแนวร่วมคนเสื้อแดงผู้สนับสนุนบางคนที่ถึงขั้น “ด่ายับ” กันเลยก็มี
ซึ่งสาเหตุมันก็คาดเดาได้ไม่ยาก เพราะการเติบโตของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่มากเท่าไหร่ อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้อีกฝ่ายนั้นเตี้ยลงลงไปนั่นแหละ และที่ “แตกหัก” ชัดเจนก็คือหลังจากที่ ธนาธร ได้ “เหยียบ” ทักษิณ ชินวัตร กลางศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อครั้งที่มีการไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องก่อนหน้านี้นั่นแหละ ถือว่าทุกอย่างได้ขาดผึงลงไปทันที เหมือนกับถึงเวลาที่ต้องแยกกันเดินแบบทางใครทางมันเร็วกว่ากำหนดด้วยซ้ำไป
สิ่งที่เห็นในวันนี้จึงเหลือแค่มวลชนที่หลงใหลได้ปลื้มในสิ่งที่เรียกว่า “พ่อของฟ้า” เป็นการเฉพาะ ก็ว่าได้ ขณะที่อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการถูก “ลอยแพ” จากอีกฝ่าย ทำให้พลังในการต่อรองแทบไม่เหลือเลย ประกอบกับนี่เป็นยุค 4.0 เป็นยุคโซเชียล ที่หลักฐานทุกอย่างมันพิสูจน์ให้เห็นได้ง่ายว่าของจริงหรือของปลอม ต่างกับยุค ทักษิณ ในคดี “ซุกหุ้น”ที่ตอนนั้นยังเป็นของแปลกใหม่ไม่เคยเจอมาก่อน แรงกดดันจึงมีมหาศาล แต่ในที่สุดก็พิสูจน์กันได้ไม่ยาก แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม
ดังนั้น สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในวันนี้ ถือว่าเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนเชือด เพราะเหมือนกับการถูกมวลชนลอยแพ หมดอนาคต ก่อนเวลาอันควร ที่สำคัญในทางการเมืองหากใช้ “กุนซือ” ที่อ่อนด้อยประสบการณ์ มันก็ต้องมีชะตากรรมอย่างที่เห็น เพราะสถานะของบุคคลสาธารณะมันไม่เหมือนกับเป็นนักกิจกรรมทางสังคมที่ไม่ถูกตรวจสอบแบบละเอียดยิบแบบนี้ !!