กกต.เตรียมประชุมพิจารณาขั้นตอนวิธีการดำเนินคดีอาญา “ธนาธร” เอาผิดตาม ม.151 พ.ร.ป.เลือกตั้ง สัปดาห์หน้า หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดพ้นสภาพ ส.ส.เหตุถือครองหุ้นสื่อขณะลงเลือกตั้ง เจ้าตัวลั่นพร้อมสู้สู้ทุกคดี ไม่กังวลปล่อยกู้ อนค. ชี้เป็นงบดุลไม่ใช่รายได้ ขอยืดเวลาแจง กกต.อ้างงานแยะ “พี่ศรี” จ่อร้อง กกต.เร่งฟันอาญา “ธนาธร” ด้าน “มาดามเดียร์” ฟ้อง “ช่อ” หมิ่นประมาท-บิดเบือนกล่าวหาครอบงำสื่อ ท้าขึ้นศาลอย่าใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. ศาลนัด 24 ก.พ.
วานนี้ (21พ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงการดำเนินการหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) จากกรณีถือหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันยื่นสมัครรับเลือกตั้งว่า ทางสำนักงานฯ จะมีการเสนอต่อที่ประชุม กกต.สัปดาห์หน้าให้พิจารณาขั้นตอน วิธีการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงการแจ้งข้อกล่าวหาและการดำเนินการตามมาตรา 151 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสถาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ.2561
ไม่กังวลคดีให้พรรคกู้เงิน
ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ก่อนบรรยายพิเศษหัวข้อ “ผู้นำทางการเมืองกับอนาคตประเทศไทย” ของหลักสูตร พตส.รุ่น 10 ของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะทำให้ดีที่สุดทุกคดี โดยและยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ หลังจากนี้อีก 1-2 วันจะพูดถึงความวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเขียนอธิบายสร้างความเข้าใจให้ประชาชน ส่วนการให้สัมภาษณ์หลังศาลตัดสินเมื่อวานนี้นั้น การวิพากษ์วิจารณ์และการพูดถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ผิดกฎหมายเนื่องจากเป็นไปอย่างสุจริต ไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมหรือหยาบคาย ส่วนคดีตนให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินนั้นก็ไม่ได้กังวล เพราะถ้าไปถามนักบัญชี หรือนักกฎหมายที่ไหน จะได้คำตอบว่าเงินกู้เป็นหนี้สินอยู่ในงบดุลไม่ใช่รายได้ ไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน จึงไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร และมองไม่ออกว่าจะขัดกฎหมายหรือขัดรัฐธรรมนูญอย่างไร
“เราอยากทำงานการเมืองที่โปร่งใส อยากให้สาธารณชนรับทราบ จึงไม่แน่ใจว่าการทำเราทำอย่างนี้จะผิดกฎหมายได้อย่างไร ขณะนี้ได้รับหนังสือแจ้งจาก กกต.ให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมแล้ว แต่ก็ได้ตอบกลับด้วยวาจาไปก่อนว่า ขณะนี้ทางพรรคงานเยอะมาก ทำให้ไม่ทัน จึงจะขอขยายระยะเวลาในการส่งเอกสารออกไปก่อน ยืนยันพรรคจะทำหน้าที่ของเราต่อไป เพราะยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ การทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่เสนอต่อสภา ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่หากเราไม่แก้ไข ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่โครงสร้างของอำนาจ ปัญหาอื่นๆ ของบ้านเมืองก็จะแก้ไขไม่ได้เลย” นายธนาธร ระบุ
ลุยงานต่อ-ปัดลงสมัครผู้ว่าฯกทม.
นายธนาธรกล่าวว่า จะทำงานทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ต่อไปให้มีความแข็งแกร่งขึ้น และต้องเตรียมพร้อมสำหรับผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งเรื่อง พ.ร.บ.ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และ พ.ร.บ.แรงงาน ซึ่งตัวเองต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว และยืนยันจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน
เมื่อถามต่อว่า หากมี ส.ส.เขตลาออกเพื่อเปิดทางให้ จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า ไม่ เราตั้งพรรคการเมืองนี้มาไม่ใช่เพื่อให้พวกเราเป็นรัฐมนตรีหรือ ส.ส. ตนไม่เคยคิดว่าตำแหน่ง ส.ส. รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีคือเป้าหมายสุดท้าย สิ่งที่เราต้องพรรคการเมืองนี้ขึ้นมาคือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดังนั้น การเป็น ส.ส.หรือไม่เป็น ส.ส.ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ซึ่งตนพร้อมทำงานต่อไป
“ศรีสุวรรณ” สะกิด กกต.เร่งคดีอาญา
อีกด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) กรณีมีการถือครองหุ้นสื่อมวลชนของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ขณะที่ไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 2 แล้วนั้น ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนด 20 ปี และกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส. ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่งดังกล่าว ให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย
“ตามหลักการทั่วไปแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน สำนักงาน กกต.จะต้องนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไปพิจารณาประกอบในสำนวนเพื่อดำเนินการส่งฟ้อง นายธนาธร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปด้วย เพราะมีการวินิจฉัยว่านายธนาธร ขาดคุณสมบัติไปแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานรัฐ ตาม มาตรา 211 วรรคท้าย ของรัฐธรรมนูญ สมาคมฯ จึงจะนำความไปร้องให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน กกต. ในวันที่ 22 พ.ย. เวลา 10.00 น. เพื่อให้เร่งส่งฟ้องนายธนาธร ต่อศาลฎีกาฯตามครรลองของกฎหมาย เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ผู้ที่คิดจะเป็นนักการเมืองทุกคนได้ระมัดระวัง ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย” นาศรีสุวรรณ ระบุ
“มาดามเดียร์” ฟ้อง “ช่อ” หมิ่นประมาท
น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ แถลงมอบอำนาจให้ทนายยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ฟ้องน.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ กรณีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพื่อปกป้องสิทธิ์และศักดิ์ศรีของตนเองและคู่สมรส เนื่องจาก น.ส.พรรณิการ์ บิดเบือนข้อเท็จจริง จนทำให้ตนเองและคู่สมรส ได้รับความเสียหาย
น.ส.วทันยา กล่าวยืนยันตามที่เคยโพสต์ใน Facebookส่วนตัว ว่าตนเองไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆ และยืนยันว่าไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับ บริษัทเนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป ตามที่น.ส.พรรณิการ์ แถลงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงตนเองและคู่สมรส ไม่ได้เป็นเจ้าของ และไม่ได้ถือหุ้นในกิจการสื่อใดๆ ตั้งแต่ก่อนเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. ไม่ว่าจะโดยนิตินัยหรือพฤตินัย ตนเองได้ทำตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ
ท้าขึ้นศาล-อย่าใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.
น.ส.วทันยา กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สื่อมวลชนย่อมทราบดีว่า การเป็นผู้บริหารไม่สามารถจะเข้าไปแทรกแซงในกระบวนการทำงานนำเสนอข่าวของสื่อได้ เพราะสื่อมวลชนย่อมมีเสรีในกระบวนการความคิดและการทำงาน ซึ่งตนเองได้ตระหนักถึงจุดนี้มาโดยตลอด และเคารพการทำงานของสื่อมวลชน กองบรรณาธิการของสื่อทุกสำนักโดยตลอด ซึ่งตนเองยึดมั่นการทำงาน และต้องมีวุฒิภาวะ สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัว และเรื่องงานออกจากกันได้
“ขอให้ น.ส.พรรณิการ์ อย่าใช้เอกสิทธิ์ความเป็นส.ส. เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล ขอให้สู้กันด้วยข้อเท็จจริงในกระบวนการตุลาการ หากจะกล่าวหาผู้อื่น ก็ต้องกล้าพิสูจน์ความจริงอย่างมีความรับผิดชอบ “
ส่วนกระแสที่ถูกเปรียบเทียบ หลังจากมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ทันยา กล่าวว่า ไม่ประสงค์จะพูดถึงเหตุการณ์นี้อีก เพราะการทำงานในฐานะส.ส. ตัวแทนประชาชน และเป็นกรรมาธิการ ก็มีภารกิจที่จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ขอไปพิสูจน์ความจริงในกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช้เรื่องนี้มาเป็นวาทกรรมทางการเมือง โดยจะมีการไต่สวนนัดแรกวันที่ 24 ก.พ.63
วานนี้ (21พ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงการดำเนินการหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) จากกรณีถือหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในวันยื่นสมัครรับเลือกตั้งว่า ทางสำนักงานฯ จะมีการเสนอต่อที่ประชุม กกต.สัปดาห์หน้าให้พิจารณาขั้นตอน วิธีการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงการแจ้งข้อกล่าวหาและการดำเนินการตามมาตรา 151 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสถาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ.2561
ไม่กังวลคดีให้พรรคกู้เงิน
ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ก่อนบรรยายพิเศษหัวข้อ “ผู้นำทางการเมืองกับอนาคตประเทศไทย” ของหลักสูตร พตส.รุ่น 10 ของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะทำให้ดีที่สุดทุกคดี โดยและยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ หลังจากนี้อีก 1-2 วันจะพูดถึงความวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเขียนอธิบายสร้างความเข้าใจให้ประชาชน ส่วนการให้สัมภาษณ์หลังศาลตัดสินเมื่อวานนี้นั้น การวิพากษ์วิจารณ์และการพูดถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ผิดกฎหมายเนื่องจากเป็นไปอย่างสุจริต ไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมหรือหยาบคาย ส่วนคดีตนให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินนั้นก็ไม่ได้กังวล เพราะถ้าไปถามนักบัญชี หรือนักกฎหมายที่ไหน จะได้คำตอบว่าเงินกู้เป็นหนี้สินอยู่ในงบดุลไม่ใช่รายได้ ไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน จึงไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร และมองไม่ออกว่าจะขัดกฎหมายหรือขัดรัฐธรรมนูญอย่างไร
“เราอยากทำงานการเมืองที่โปร่งใส อยากให้สาธารณชนรับทราบ จึงไม่แน่ใจว่าการทำเราทำอย่างนี้จะผิดกฎหมายได้อย่างไร ขณะนี้ได้รับหนังสือแจ้งจาก กกต.ให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมแล้ว แต่ก็ได้ตอบกลับด้วยวาจาไปก่อนว่า ขณะนี้ทางพรรคงานเยอะมาก ทำให้ไม่ทัน จึงจะขอขยายระยะเวลาในการส่งเอกสารออกไปก่อน ยืนยันพรรคจะทำหน้าที่ของเราต่อไป เพราะยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ การทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่เสนอต่อสภา ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และปัญหาความเหลื่อมล้ำ ที่หากเราไม่แก้ไข ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่โครงสร้างของอำนาจ ปัญหาอื่นๆ ของบ้านเมืองก็จะแก้ไขไม่ได้เลย” นายธนาธร ระบุ
ลุยงานต่อ-ปัดลงสมัครผู้ว่าฯกทม.
นายธนาธรกล่าวว่า จะทำงานทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ต่อไปให้มีความแข็งแกร่งขึ้น และต้องเตรียมพร้อมสำหรับผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งเรื่อง พ.ร.บ.ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และ พ.ร.บ.แรงงาน ซึ่งตัวเองต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว และยืนยันจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน
เมื่อถามต่อว่า หากมี ส.ส.เขตลาออกเพื่อเปิดทางให้ จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า ไม่ เราตั้งพรรคการเมืองนี้มาไม่ใช่เพื่อให้พวกเราเป็นรัฐมนตรีหรือ ส.ส. ตนไม่เคยคิดว่าตำแหน่ง ส.ส. รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีคือเป้าหมายสุดท้าย สิ่งที่เราต้องพรรคการเมืองนี้ขึ้นมาคือการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดังนั้น การเป็น ส.ส.หรือไม่เป็น ส.ส.ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ซึ่งตนพร้อมทำงานต่อไป
“ศรีสุวรรณ” สะกิด กกต.เร่งคดีอาญา
อีกด้าน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเด็ดขาดเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่(อนค.) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) กรณีมีการถือครองหุ้นสื่อมวลชนของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ขณะที่ไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 2 แล้วนั้น ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 151 ประกอบรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนด 20 ปี และกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส. ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่งดังกล่าว ให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย
“ตามหลักการทั่วไปแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน สำนักงาน กกต.จะต้องนำผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไปพิจารณาประกอบในสำนวนเพื่อดำเนินการส่งฟ้อง นายธนาธร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปด้วย เพราะมีการวินิจฉัยว่านายธนาธร ขาดคุณสมบัติไปแล้ว ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานรัฐ ตาม มาตรา 211 วรรคท้าย ของรัฐธรรมนูญ สมาคมฯ จึงจะนำความไปร้องให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน กกต. ในวันที่ 22 พ.ย. เวลา 10.00 น. เพื่อให้เร่งส่งฟ้องนายธนาธร ต่อศาลฎีกาฯตามครรลองของกฎหมาย เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ผู้ที่คิดจะเป็นนักการเมืองทุกคนได้ระมัดระวัง ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย” นาศรีสุวรรณ ระบุ
“มาดามเดียร์” ฟ้อง “ช่อ” หมิ่นประมาท
น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ แถลงมอบอำนาจให้ทนายยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ฟ้องน.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ กรณีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพื่อปกป้องสิทธิ์และศักดิ์ศรีของตนเองและคู่สมรส เนื่องจาก น.ส.พรรณิการ์ บิดเบือนข้อเท็จจริง จนทำให้ตนเองและคู่สมรส ได้รับความเสียหาย
น.ส.วทันยา กล่าวยืนยันตามที่เคยโพสต์ใน Facebookส่วนตัว ว่าตนเองไม่เคยดำรงตำแหน่งใดๆ และยืนยันว่าไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับ บริษัทเนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป ตามที่น.ส.พรรณิการ์ แถลงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา รวมถึงตนเองและคู่สมรส ไม่ได้เป็นเจ้าของ และไม่ได้ถือหุ้นในกิจการสื่อใดๆ ตั้งแต่ก่อนเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. ไม่ว่าจะโดยนิตินัยหรือพฤตินัย ตนเองได้ทำตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ
ท้าขึ้นศาล-อย่าใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.
น.ส.วทันยา กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สื่อมวลชนย่อมทราบดีว่า การเป็นผู้บริหารไม่สามารถจะเข้าไปแทรกแซงในกระบวนการทำงานนำเสนอข่าวของสื่อได้ เพราะสื่อมวลชนย่อมมีเสรีในกระบวนการความคิดและการทำงาน ซึ่งตนเองได้ตระหนักถึงจุดนี้มาโดยตลอด และเคารพการทำงานของสื่อมวลชน กองบรรณาธิการของสื่อทุกสำนักโดยตลอด ซึ่งตนเองยึดมั่นการทำงาน และต้องมีวุฒิภาวะ สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัว และเรื่องงานออกจากกันได้
“ขอให้ น.ส.พรรณิการ์ อย่าใช้เอกสิทธิ์ความเป็นส.ส. เพื่อหลีกเลี่ยงกระบวนการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล ขอให้สู้กันด้วยข้อเท็จจริงในกระบวนการตุลาการ หากจะกล่าวหาผู้อื่น ก็ต้องกล้าพิสูจน์ความจริงอย่างมีความรับผิดชอบ “
ส่วนกระแสที่ถูกเปรียบเทียบ หลังจากมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ทันยา กล่าวว่า ไม่ประสงค์จะพูดถึงเหตุการณ์นี้อีก เพราะการทำงานในฐานะส.ส. ตัวแทนประชาชน และเป็นกรรมาธิการ ก็มีภารกิจที่จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ขอไปพิสูจน์ความจริงในกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช้เรื่องนี้มาเป็นวาทกรรมทางการเมือง โดยจะมีการไต่สวนนัดแรกวันที่ 24 ก.พ.63