"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ปฏิกิริยาต่อการตัดสินให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่สิ้นสภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ มีหลายแง่มุม ซึ่งสะท้อนความคิดและจุดยืนทางการเมืองของผู้คนเหล่านั้น และการกระทำทางการเมืองของฝ่ายต่าง ๆ ต่อจากนี้ ก็จะเป็นสิ่งกำหนดสถานการณ์ในอนาคตของการเมืองไทย
ผู้มีจุดยืนทางการเมืองตรงข้ามและมองว่านายธนาธรเป็นอันตรายต่อสังคมไทย ต่างก็เห็นว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญมีความเหมาะสมและเป็นธรรมดีแล้ว ถ้อยคำที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกยินดีและสะใจกับกับสิ่งที่นายธนาธรได้รับมีให้เห็นอย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นความแพร่หลายของการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงตอบโต้ความเห็นของนายธนาธร ที่มีต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกันตัวแสดงหลักบางคนที่เป็นหัวหอกของฝ่ายต่อต้านนายธนาธรก็เปิดฉากเกมรุกในขั้นต่อไปเพื่อทำให้นายธนาธรหลุดพ้นจากเวทีการเมืองในระบบรัฐสภาให้ได้ โดยเรียกร้องให้คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินคดีทางอาญากับนายธนาธรต่อไปตามมาตรา ๑๕๑ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และ กกต. เองก็ประกาศชัดว่าจะดำเนินคดีทางอาญากับนายธนาธรต่อไป อนึ่งในกรณีนี้มีอดีต กกต.บางท่านที่มีจุดยืนเป็นกลาง ก็ระบุว่า ตามกฎหมายแล้ว กกต.ไม่ทำก็ไม่ได้เพราะหากไม่ทำก็อาจถูกร้องเรียนว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ได้
ในอีกด้านหนึ่ง ตัวนายธนาธรเอง หลังฟังคำพิพากษาก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ผมคิดว่าอาจส่งผลกระทบต่อระบบยุติธรรมทางการเมืองมากคือ ข้อความที่ว่า “ศาลให้น้ำหนักกับข้อสันนิฐานมากกว่าข้อเท็จจริง” ข้อวิพากษ์ประการนี้หากศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำความเข้าใจและชี้แจงแก่สังคมให้เกิดความกระจ่างได้ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่กัดกร่อนความน่าเชื่อที่สำคัญอีกประการหนึ่ง และจะไปตอกย้ำความเชื่อเดิมของบรรดาผู้สนับสนุนนายธนาธรที่มีต่อองค์กรอิสระมากยิ่งขึ้น แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับไปสั่นคลอนความคิดของผู้ที่ยังวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอยู่ในปัจจุบัน
บรรดาผู้ที่สนับสนุนนายธนาธรต่างก็แสดงความผิดหวังและใช้ถ้อยคำที่รุนแรงไม่แพ้กันในการวิจารณ์คำตัดสิน เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า การที่นายธนาธร ถูกพิพากษาเช่นนี้ก็เพราะชนชั้นนำทางอำนาจของสังคมไทยมองว่านายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เป็นอันตรายต่อสถานภาพทางอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง ดังนั้นจึงใช้มาตรการทุกอย่างสกัดกั้น บั่นทอนอิทธิพลและความน่าเชื่อถือทางการเมืองของนายธนาธร ทั้งการใช้สื่อมวลชนที่เป็นพวกเดียวกันโจมตีนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่อย่างต่อเนื่อง การใช้นักเคลื่อนไหวทางการเมืองติดตามข้อมูลจับผิดเพื่อร้องเรียนต่อองค์กรอิสระ และใช้มาตรการทางกฎหมายและกลไกองค์กรอิสระเล่นงาน กลั่นแกล้ง และรังแกนายธนาธรอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อคิดดังนี้ผู้สนับสนุนนายธนาธรจึงมีความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจและบางกลุ่มถึงขนาดคับแค้นต่อกลุ่มอำนาจรัฐมากยิ่งขึ้น
ความคิดที่ว่านายธนาธรถูกกลุ่มอำนาจรัฐเล่นงาน ไม่เพียงปรากฎในสังคมไทยเท่านั้น หากแต่แพร่กระจายไปยังสมาชิกรัฐสภาอาเซียนบางส่วนด้วย ดังแถลงการณ์ที่ออกโดย นาย Charles Santiago สมาชิกรัฐสภามาเลเซียและประธานกลุ่มสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (Asean Parliamentarians for Human Rights: APHR) ซึ่งระบุว่า การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว แต่ผู้มีอํานาจของไทยก็ยังไม่พร้อมที่จะมีประชาธิปไตยที่โปร่งใสและเป็นอิสระ ทั้งยังมองว่า พรรคอนาคตใหม่ถูกเลือกปฏิบัติโดยสถาบันอิสระ เพื่อปิดปากและสกัดกั้นบทบาทของพรรคในการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดนํากฎหมายมาเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
การแถลงเช่นนี้ของสมาชิกรัฐสภาอาเซียนถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงการเมืองภายในประเทศไทยจากบรรดาผู้ที่เป็นปรปักษ์กับนายธนาธร และวิพากษ์ว่าองค์การดังกล่าวไม่เป็นที่รู้จักและไม่ได้รับการยอมรับแต่อย่างใด เรียกได้ว่า การตอบโต้และการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่มีความคิดต่างทางการเมืองในปัจจุบันขยายขอบเขตออกไปสู่เวทีการเมืองระหว่างประเทศแล้ว
อันที่จริง แม้ว่านายธนาธรจะสิ้นสภาพความเป็น ส.ส. ลงไปชั่วคราว แต่ก็ยังสามารถแสดงบทบาทการเมืองในเวทีรัฐสภาได้อยู่ ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกตัดสินจำคุกหรือตัดสิทธิการเลือกตั้ง ทั้งในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณแผ่นดิน หรือ แม้กระทั่งกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ อีกทั้งหากมี ส.ส. เขตใดเขตหนึ่งในกรุงเทพมหานครว่างลง นายธนาธรก็ยังสมัครรับเลือกตั้งได้ และที่สำคัญฐานะความเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และการเป็นผู้ทรงสิทธิในตัวเลือกของการเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังคงอยู่โดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
กล่าวได้ว่า แม้ว่าจะสิ้นสภาพ ส.ส. ไปแล้ว แต่นายธนาธรก็ยังมีพื้นที่และเวทีในระบบสภาให้เล่นอยู่ ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นผลดีต่อระบบการเมืองแบบรัฐสภาของไทยในภาพรวม ไม่เพียงดีแต่เฉพาะพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงกลุ่มอำนาจรัฐที่ครอบงำรัฐสภาอยู่ด้วย เพราะหากนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ไม่มีพื้นที่เล่นในระบบการเมืองที่เป็นทางการแล้ว พลังการเมืองที่ห่อหุ้มนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ก็จะแตกกระจายและอาจถูกบังคับให้ไปเล่นการเมืองในโลกแห่งท้องถนนได้ และนั่นอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่ตึงเครียดระหว่างกลุ่มพลังสองขั้วในสังคมไทยมากขึ้น และพัฒนาไปสู่ความรุนแรงได้
จากการอ่านท่าทีของนายธนาธรและแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ที่แสดงออกมาผ่านสื่อสาธารณะ ผมประเมินว่า ณ ช่วงปัจจุบันยังไม่เห็นความพยายามหรือการเกระทำใดที่ส่อแววถึงการเคลื่อนตัวจากการเมืองในระบบรัฐสภาสู่การเมืองท้องถนน ซึ่งอาจมีเหตุผลที่ว่า พวกเขายังคงมีความหวังต่อการสู้ในเวทีสภาผู้แทนราษฎรอยู่ หรืออาจเป็นเพราะสถานการณ์ทางความคิดและความรู้สึกของมวลชนยังไม่สุกงอมเพียงพอที่จะขับเคลื่อนสู่ท้องถนน หรืออาจยังไม่มีประเด็นใดที่เกิดจากการกระทำของฝ่ายอำนาจรัฐที่ไปกระแทกความรู้สึกของประชาชนจนไม่อาจรับได้อีกต่อไป เหตุผลดังที่กล่าวมาล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้จากปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาคือ การถดถอยในเชิงพลังทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังการแสดงออกของส.ส. นับสิบคนในพรรคที่ลงมติและมีจุดยืนแตกต่างจากพรรค และเมื่อนายธนาธร ถูกตัดสินให้สิ้นสภาพความเป็น ส.ส. แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไปเร่งกระบวนการขยายตัวของความเสื่อมถอย ดังมีข่าวออกมาว่า ส.ส.อนาคตใหม่จำนวนนับสิบคนเริ่มคิดและปฏิบัติการบางอย่างเพื่อแสวงหาทางเลือกใหม่ทางการเมืองให้กับตนเองแล้ว
ภายใต้เงื่อนไขของสังคมการเมืองเป็นที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าหากฝ่ายอำนาจรัฐไม่รุกเร้าหรือบีบคั้นนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่มากเกินไปจนไร้พื้นที่ หรือหมดหนทางเล่นการเมืองในระบบ รวมทั้งไม่สร้างเงื่อนไขที่ทำให้ฝ่ายเป็นกลางรู้สึกว่ารัฐบาลกระทำเกินเลยไป หรือมุ่งแต่ปกป้องและสร้างประโยชน์ให้แก่ฝ่ายเดียวกันเองเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็อาศัยอำนาจรัฐที่มีอยู่แก้ปัญหาประเทศอย่างจริงจัง กระจายอำนาจ และกระจายความเป็นธรรมแต่ประชาชนให้ทั่วถึงอย่างเป็นรูปธรรมและสัมผัสได้ ก็สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในอนาคตได้
นั่นหมายถึงว่า หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไม่ตกต่ำจมดิ่งลงไปสู่วิกฤตที่เข้มข้นกว่านี้ โอกาสที่พรรคอนาคตใหม่จะขยายอิทธิพลทางการเมืองเพิ่มขึ้นในอนาคตก็มีจำกัดอย่างยิ่ง เพียงประคองสถานภาพของพรรคให้อยู่ในระดับเดิมก็ยังยากลำบากไม่น้อย
แต่ดังที่เราทราบ ความเชื่อและพฤติกรรมฝังแน่นบางอย่างของผู้มีอำนาจรัฐบางกลุ่มก็ยากที่จะปรับเปลี่ยน จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันว่า หากชนชั้นนำทางอำนาจและผู้สนับสนุนขาดความยับยั้งชั่งใจ และไปกระทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยใช้อำนาจและกฎหมายจนเกินขอบเขตอย่างอหังการ หรือเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องอย่างไร้จริยธรรม หรือประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นปัจจัยที่เสริมสร้างอิทธิพลทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น
หากสถานการณ์พัฒนาไปสู่จุดนั้น การเผชิญหน้าและความขัดแย้งก็จะขยายตัวและทวีความเข้มข้นมากขึ้น และทำให้สถานภาพเดิมของชนชั้นนำทางอำนาจคลั่นคลอนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้