xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ชาติคลอด4มาตรการสกัดค่าบาทแข็ง-กนง.หั่นดอกเบี้ย0.25%พยุงศก.

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - แบงก์ชาติ ผ่อนปรน 4 มาตรการสกัดบาทแข็งค่า-หนุนเงินไหลออก ขณะที่กนง.มีมติ 5:2 ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.25% อัตราที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ “กกร.”เตรียมร่อนหนังสือถึง ธปท. และกระทรวงการคลัง หวังตั้งคณะทำงานร่วมถกหามาตรการสกัดบาทแข็งค่าระยะยาวกลางและยาวเพื่อขับเคลื่อนศก.ในปี 2563 หลังปีนี้ศก.เผชิญปัจจัยเสี่ยงสารพัด “ส.อ.ท.” ย้ำบาทแข็งที่ผ่านมา 7-8% ทำไทยสูญรายได้ส่งออก 2-3 แสนล้านบาทจี้ธปท.ต้องดูแลหากเป็นไปได้อยากเห็น 32 บาทต่อเหรียญฯ

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออกและลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท รวมทั้งจะช่วยให้การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศมีความสะดวกมากขึ้น โดยจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 8 พ.ย. 2562 ดังนี้ 1.อนุญาตให้ผู้ส่งออกที่มีรายได้ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อใบขน สามารถฝากเงินรายได้จากการส่งออกไว้ในต่างประเทศได้โดยไม่จำกัดระยะเวลา และหากผู้ส่งออกมีรายได้สูงกว่าวงเงินข้างต้นยังสามารถนำไปหักกลบกับรายจ่ายในต่างประเทศได้ ไม่ต้องนำกลับเข้าประเทศ

พร้อมกันนั้น ธปท. ได้หารือเบื้องต้นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่าจะขยายวงเงินรายได้จากการส่งออกไม่ต้องนำกลับเข้าประเทศเป็น 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อใบขน ภายในระยะ 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะครอบคลุมประมาณ 80 % ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด

2.เปิดเสรีให้นักลงทุนรายย่อยสามารถออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เองในวงเงิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี จากเดิมที่ต้องผ่านตัวกลางในประเทศ หรือต้องมีสินทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กำหนด และเพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้นักลงทุนภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เป็น 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับการออกไปลงทุนในต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

3.เปิดเสรีการโอนเงินออกนอกประเทศได้ทุกวัตถุประสงค์ ยกเว้นเพียงไม่กี่รายการ (negative list) อาทิ การชำระธุรกรรมซื้อขาย FX/THB กับสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ยังต้องขออนุญาตจาก ธปท. รวมถึงอนุญาตให้สามารถโอนเงินให้ตนเองหรือญาติที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศได้เสรี และสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ สามารถโอนได้ในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และประชาชนหรือภาคธุรกิจที่ต้องการโอนเงินออกนอกประเทศต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อครั้งไม่ต้องยื่นเอกสารหลักฐาน

และ 4.อนุญาตให้ลูกค้าคนไทยการซื้อขายทองคำในประเทศเป็นเงินตราต่างประเทศผ่านบัญชี FCD ที่เปิดกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศได้ และลูกค้าสามารถเก็บเงินตราต่างประเทศจากการขายทองคำไว้ในบัญชี FCD โดยไม่ต้องแลกเป็นบาทเพื่อรอลงทุนในครั้งต่อไป และพร้อมที่จะอนุญาตการซื้อขาย Gold Futures ในรูปเงินตราต่างประเทศในระยะต่อไปด้วย

กนง.มติ5:2 ลดดอกเบี้ย 0.25 %

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าว่า กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % ต่อปี จาก 1.50 % เป็น 1.25 % โดยให้มีผลทันที เนื่องจาก กนง.มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้และต่ำกว่าศักยภาพมากขึ้น จากการส่งออกที่ลดลงซึ่งส่งผลไปสู่การจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ 2 เสียงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50 % เนื่องจากนโยบายการเงินปัจจุบันอยู่ในระดับผ่อนคลายอยู่แล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยอาจไม่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มได้มากนักเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

แบงก์เล็งลดทั้งฝาก-กู้

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า หากธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ธนาคารออมสินเองก็คงต้องมีการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน แต่ในรอบนี้จะพิจารณาทั้งดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อให้เกิดความเหมาะสม หลังจากก่อนหน้านี้ธนาคารในระบบได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อช่วยพยุงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กไปก่อนหน้านี้แล้ว

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) (KBANK)กล่าวว่า ธนาคารเองพร้อมที่จะสนองนโยบายการปรับลดดอกเบี้ยของกนง. แต่จะเป็นผู้นำหรือผู้ตามธนาคารจะพิจารณาถึงความเหมาะสม โดยก่อนหน้านี้ธนาคารได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงแล้วสำหรับเอสเอ็มอีแต่ครั้งนี้จะพิจารณาทางด้านดอกเบี้ยเงินฝากด้วย

ขณะที่ค่าเงินบาทวานนี้ปิดตลาดที่ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าจากช่วงเปิดตลาดที่ระดับ 30.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และอ่อนค่าสุดของวันหลังธปท.ประกาศผ่อนเกณฑ์ฯที่ระดับ 30.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

กกร.จ่อยื่นคลัง-ธปท.ตั้งคณะทำงานหามาตรการระยะยาวรับมือบาทแข็ง

นายกลินทร์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะทำหน้าที่ประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กกร.เตรียมทำหนังหนังสือถึงกระทรวงการคลัง และ ธปท. เพื่อหารือร่วมกับกกร.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอาจตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อที่จะหามาตรการและแนวทางดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทระยะกลางและระยะยาวไม่ให้แข็งค่าเพื่อที่จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2563 ได้มากขึ้น

สำหรับกรณีที่สหรัฐฯประกาศจะตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า (GSP)กับไทยมีผล 25 เมษายน 63 คาดว่าจะกระทบต่อการส่งออกประมาณ 1,500-1,800 ล้านบาทต่อปี และกกร.ต้องการให้รัฐเร่งเจรจากับสหรัฐฯก่อนถึงเงื่อนเวลาตัดสิทธิและควรมีมาตรการเช่น การจัดทำระบบเตือน(Early Warning)สำหรับสินค้าที่อาจถูกตัดสิทธิ ประสานเรื่องนี้กับกระทรวงแรงงานเป็นต้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท.กล่าวว่า หากเป็นไปได้อยากเห็นค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากขณะนี้ค่าเงินบาทของไทยมีการแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีแล้ว 7% -8% นั้นส่งผลให้มูลค่าส่งออกของไทยคาดว่าปีนี้มี จะหาย ไปราว2-3 แสนล้านบาทจึงจำเป็นต้องหารือถึงแนวทางดูแลที่ไม่ได้มองแค่ระยะสั้นแต่ต้องมองระยะกลางและยาวเพราะภาคส่งออกคิดเป็น 70% ของจีดีพีซึ่งหากเกิดปัญหาจะกระทบไปถึงการจ้างงานให้เกิดชะลอตัวในระยะต่อไปได้


กำลังโหลดความคิดเห็น