xs
xsm
sm
md
lg

กกร.ขอตั้ง กก.ร่วม คลัง-ธปท.แก้ปัญหาบาทแข็งค่า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กกร.จะส่งหนังสือเชิญ ธปท.และคลัง หารือแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า พร้อมเสนอทบทวนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุม กกร.เห็นว่าเพื่อแก้ไขเงินบาทแข็งค่าระยะสั้น ทาง กกร. เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระหว่าง กกร.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันหาแนวทางดำเนินการต่อไป สำหรับระยะกลางและระยะยาว ภาคเอกชนจะเร่งการพัฒนาด้านต้นทุนและราคา โดยต้องพัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่ ๆ เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าไทยให้มีศักยภาพ

ทั้งนี้ กกร.เห็นว่าขณะนี้ยังจำเป็นต้องมีการทบทวนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มระยะเวลาการพักเงินรายได้จากการส่งออกในรูปเงินตราต่างประเทศ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ส่งออกเร็วขึ้น เป็นต้น รวมถึงการผลักดันให้โครงสร้างการส่งออกมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า โครงสร้างค่าเงินแบบลอยตัวแบบมีการจัดการขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างเดียวส่งผลกระทบผู้ส่งออก โดยในช่วง 2 ปีนี้ เงินบาทแข็งค่าร้อยละ 7-10 ส่งผลเสียกับอุตสาหกรรมทั้งประเทศ ดังนั้น ถึงเวลาที่ควรจะปรับใหม่หรือไม่ ขณะนี้ผู้ประกอบการบางรายให้แรงงานหยุดทำงานชั่วคราวแต่ยังคงจ่ายค่าจ้าง แต่ละอุตสาหกรรมมีภาวะที่ต่างกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้การส่งออกชะลอลง มีการหาตลาดใหม่เข้ามาเสริม

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่าที่ประชุม กกร.ยังรับทราบกรณีธนาคารโลกเผยแพร่การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business 2020) ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวม 190 ประเทศ โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 21 ของโลก ดีขึ้น 6 อันดับ จากอันดับที่ 27 ในปีที่ผ่านมา กกร.เห็นว่าการที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นครั้งนี้ เป็นผลจากความพยายามของภาครัฐและเอกชนดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทั้งความพยายามลดขั้นตอนการขออนุมัติหรือการนำระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในการให้บริการภาครัฐ รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ดีขึ้น

สำหรับโครงการชิมช้อปใช้ เฟสแรกและเฟส 2 ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะขยายโครงการเฟส 3 นั้น ทาง กกร.มองว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น

ส่วนกรณีสหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรทางการค้า (GSP) กับไทย 573 รายการ โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 25 เมษายน 2563 ทำให้สินค้าบางรายการที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้า 4-5% จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกประมาณ 1,500-1,800 ล้านบาทต่อปี แม้ผลกระทบเบื้องต้นในภาพรวมต่อการส่งออกอาจมีจำกัด โดยจะตกอยู่ที่หมวดสินค้าที่อัตราภาษีเพิ่มขึ้นมากและมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ น้อย เช่น ตะกั่วบริสุทธิ์ กุญแจที่ใช้กับยานยนต์ ชิ้นส่วนของเครื่องจักรโรงงาน สารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร.เห็นว่าภาครัฐควรเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเงื่อนเวลาที่จะมีการตัดสิทธิและควรจะต้องมีมาตรการดำเนินการต่อ คือ 1.ประสานงานเรื่องดังกล่าวต่อกระทรวงแรงงาน 2. การจัดทำ Early Warning สำหรับสินค้าที่อาจถูกตัดสิทธิในลำดับต่อไป และ 3. นำประเด็นนี้เข้าหารือในการประชุม กรอ.พาณิชย์ และสมาคมการค้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทางภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนโดยให้การสนับสนุนในการพัฒนายกระดับคุณภาพสินค้าและการเจาะตลาดใหม่ ๆ พร้อมทั้งดูแลระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้แข่งขันได้ยิ่งขึ้น

จากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ที่ลดตัวลง สะท้อนว่าอาจจะยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นของ GDP ไตรมาส 3/2562 หลังจากช่วงครึ่งปีแรก GDP ขยายตัวเพียง 2.6% (YoY) โดยไตรมาส 3/2562 การส่งออกหดตัวเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มีเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวดีขึ้น จากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนและอานิสงส์จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrivals ทั้งนี้ ภาคเอกชนและภาครัฐอยู่ระหว่างการหารือมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เช่น การเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ เป็นต้น

มองไปข้างหน้าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ทั้งจากทิศทางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน (แม้อาจเจรจากันได้) รวมถึงเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะยังคงสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย นอกจากนี้ สถานการณ์คำสั่งซื้อจากการส่งออกที่ชะลอลง หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจสร้างผลกระทบต่อประเด็นการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศเป็นวงกว้างมากขึ้นในอนาคต ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม 2562 แสดงให้เห็นว่าตัวเลขการจ้างงานได้ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ต่อเนื่องกันมา 4 เดือนแล้ว

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร.ยังคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทย การส่งออก และอัตราเงินเฟ้อปี 2562 ไว้ตามเดิม แต่จะติดตามและประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2562 ของ กกร. (ต.ค. 62) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะโตร้อยละ 2.7-3.0 ส่งออกโตร้อยละ -2.0-0.0 เงินเฟ้อคาดวา จะอยู่ที่ร้อยละ 0.8-1.2


กำลังโหลดความคิดเห็น