xs
xsm
sm
md
lg

กกร.จ่อยื่นหนังสือถึง ธปท.-คลังร่วมตั้งคณะทำงานหามาตรการดูแลบาทแข็ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“กกร.” เตรียมร่อนหนังสือถึง ธปท. และกระทรวงการคลัง หวังตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหารือมาตรการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไปเพื่อขับเคลื่อน ศก.ในปี 2563 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงมากมาย “ส.อ.ท.” ชี้หาก กนง.ลดดอกเบี้ยก็แค่ดูแลระยะสั้นเท่านั้น ลั่นบาทแข็งปีนี้ฉุดมูลค่าส่งออกหาย 2-3 แสนล้านบาท



นายกลินทร์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะทำหน้าที่ประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย สภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า กกร.เตรียมทำหนังหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง เพื่อที่จะขอให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกันในการหามาตรการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทระยะกลาง และระยะยาว ไม่ให้แข็งค่าจนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยภาพรวม

“เราจะเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานรวมกันระหว่าง กกร. ธปท. คลัง และอาจจะเป็นหน่วยงานอื่นๆ ด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะดูแลค่าเงินบาทไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยจะหารือถึงมาตรการดูแลเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องในปี 2563 ซึ่งมาตรการที่จะลดผลกระทบนอกเหนือจากนโยบายด้านดอกเบี้ยแล้วก็อาจจะต้องมีด้านอื่นๆ เช่น เพิ่มระยะเวลาการพักเงินรายได้จากการส่งออกในรูปเงินตราต่างประเทศ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ส่งออกเร็วขึ้น เป็นต้น” นายกลินทร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม กกร.ยังคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทย การส่งออกและอัตราเงินเฟ้อในปี 2562 ไว้คงเดิมโดย ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ยังมีอัตราเติบโต 2.7-3% ส่งออกติดลบ 2% ถึง 0% เงินเฟ้อ 0.8-1.2% เนื่องจากมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทั้งโลกยังคงชะลอตัวจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงค่าเงินบาทของไทยที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าที่ส่งผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันลดลง เป็นต้น


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า หากเป็นไปได้อยากเห็นค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 6 พ.ย.นี้ แต่ก็แค่มาตรการระยะสั้น ยังคงจำเป็นต้องหารือกับ ธปท.และคลังที่จะหามาตรการดูแลในระยะกลางและยาวต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่า เนื่องจากขณะนี้ค่าเงินบาทของไทยมีการแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีแล้ว 7-10% ส่งผลให้มูลค่าส่งออกของไทยปีนี้มีแนวโน้มจะหายไปราว 2-3 แสนล้านบาท

“เราคงต้องมาหารือว่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปหรือต้องมาดูมาตรการ เช่น การลดดอกเบี้ยลง การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้ส่งออกเร็วขึ้นไหม หรืออย่างไร และเป็นไปได้หรือไม่ที่ ธปท.จะมาดูโครงสร้างตะกร้าเงินของประเทศที่อดีตเราลอยตัวเพราะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่เวลานี้เราเกินดุล เงินคงคลังก็มีมากเราน่าจะมาทบทวนว่าควรจะทำอย่างไรหรือไม่เพราะส่งออกคิดเป็น 70% ของจีดีพี และเมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ราคาพลังงานจะลดลงเพื่อดูแลต้นทุนของเอกชน” นายสุพันธุ์กล่าว

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนั้นก็จะมีผลเสียต่อผู้ฝากเงินแม้จะมีข้อดีด้านอื่น ดังนั้น โจทย์สำคัญคือต้องมองภาพรวมว่าประเทศจะมีผลดีในด้านใดมากกว่าผลเสีย ข้อมูลในการตัดสินใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ
กำลังโหลดความคิดเห็น