xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

**“มดน้อยลุงตู่”กับ พญาราชสีห์“หลี่ เค่อเฉียง”พายเรือลำเดียวกัน และฝูงนกนางแอ่นบินว่อนต้อนรับเป็นสักขีพยานลงนามความตกลงระหว่างกัน 3 ฉบับ ชื่นมื่น
ฮือฮากันเกรียวกราว เมื่อ “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ "หลี่ เค่อเฉียง" นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างที่ทั้งคู่ กำลังเดินตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ปรากฏว่า มีฝูงนกนางแอ่นจำนวนมากบินว่อนอยู่เหนือท้องฟ้า โดยไม่เคยพบเห็นบ่อยนัก
ว่ากันว่า ฝูงนกนางแอ่นฝูงนี้หนีหนาวมา หรือ หากจะเป็นความเชื่อของชาวม้งในตอนใต้ของจีน เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล และคู่นกนางแอ่นจะซื่อสัตย์ต่อกันไปจนวันตาย และนำมาซึ่งความสุขเข้ามาสู่ชีวิต...
ขณะที่การหารือผู้นำทั้งสอง ได้ร่วมกันหารือข้อราชการเต็มคณะ ทั้ง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรี "ดอน ปรมัตถ์วินัย" รมว.การต่างประเทศ "สุวิทย์ เมษินทรีย์" รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม และ วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.พาณิชย์ ... ขณะที่คณะรัฐมนตรีฝ่ายจีน ก็มีทั้ง "เซียว เจี๋ย" มนตรีแห่งรัฐและเลขาฯครม. "หลิว คุน" รมว.คลัง "จาง หย่ง" รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ "เล่อ ยู่เฉิง" รมช.การต่างประเทศ "หลี่ว เจี้ยน" เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ "หยู เจี้ยนหัว" รมช.พาณิชย์และรองผู้แทนการค้าระหว่างประเทศ
เรียกว่า จัดชุดใหญ่ไฟกะพริบก่อนที่จะลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิชาการ และนวัตกรรม 2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวและข้อมูลข่าวสารระหว่างกรมประชาสัมพันธ์ กับสำนักข่าวซินหวา และ 3. บันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) กับ ศูนย์ความร่วมมือทางนวัตกรรมแห่งสถาบันบัณฑิต
ตอนที่แถลงข่าวร่วมกันของสองนายกฯ "พล.อ.ประยุทธ์" พูดถึงเรื่องที่คุยกันกับจีน มีตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจโลก การเมืองและความมั่นคง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สังคม และวัฒนธรรม เห็นว่าควรส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น เชิญชวนให้จีนขยายการลงทุนในไทย ขณะเดียวกัน ก็ได้ฝากให้นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ช่วยดูแลภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในจีน และดูแลเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว และยางพาราด้วย ... นอกจากนี้ได้ย้ำความตั้งใจของรัฐบาลไทย ที่จะปรับปรุงมาตรฐานการให้ความคุ้มครองและดูแลนักท่องเที่ยว ซึ่งจีนได้แสดงความพร้อมที่จะถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีของจีน ในเรื่องการขจัดความยากจนให้ไทย พร้อมเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ดิจิทัล และเมืองอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน/PM 2.5
"หลี่ เค่อเฉียง" กล่าวขอบคุณที่ทางการไทยให้การต้อนรับอย่างมีน้ำใจ จีนพร้อมผลักดันไทยทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการอีอีซี รวมถึงส่งเสริมเสริมความร่วมมือด้านการค้าข้าว อีคอมเมิร์ซ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งจีนมีศักยภาพในการส่งเสริมการพัฒนาของไทยเป็นอย่างมาก โดยช่วงที่มาเยือนประเทศไทยได้เห็นเรือพาณิชย์แล่นอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวนมาก ทำให้คิดว่าหากทางการไทย-จีน ร่วมมือกันจะเปรียบเสมือนเป็น “เรือใหญ่ แล่นเร็ว แล่นไกล”อย่างมั่นคง ซึ่งในอนาคตจะต้องแล่นให้เร็วเหมือนเรือหางยาวอีกด้วย ...อุปมา จีนกับไทยได้ร่วมพายเรือลำเดียวกัน ถือเป็นพี่น้องกัน จังหวะนี้ "ลุงตู่" กล่าวตอบรับทันทีว่า "โอเค เราเป็นเรือใหญ่ที่ต้องแล่นให้เร็วเหมือนเรือหางยาวต่อไป"
นอกจากจะขานรับคำเปรียบเปรยที่แยบยลช่างสังเกตของ"หลี่ เค่อเฉียง" ช่วงท้าย "ลุงตู่" ไหนเลยจะยอมแพ้ ฝากสุภาษิตให้กับ "หลี่ เค่อเฉียง" แบบคมๆ ว่า “มดน้อยบางครั้งก็สามารถช่วยพญาราชสีห์ และพญาคชสารได้”
ว่าสุภาษิตไทยไปแล้ว “มดแดงน้อยลุงตู่”ก็หันไปหานายกฯ จีนว่า อยากฟังสุภาษิตจีนบ้าง ซึ่ง"หลี่ เค่อเฉียง" ก็รับมุก แต่ก็บอกว่าได้พูดแล้วว่า “จีนกับไทยได้นั่งเรือลำเดียวกัน”
จากนั้น "ลุงตู่" ก็กล่าวตอบ “จะเป็นเรือเหล็กหรือเรือหางยาว เราก็จะไปด้วยกัน”
การพบกันของสองผู้นำจบด้วยความชื่นมื่นกันไป.

**“ทรัมป์”คิดอะไรอยู่ ส่งคนระดับ “อธิบดี”ร่วมประชุมอาเซียน โดนผู้นำ 7 ชาติบอยคอต ส่งแค่รัฐมนตรีร่วมหารือ จนทูตสหรัฐฯ ต้องออกอาการกังวล

ปิดฉากอย่างชื่นมื่น สำหรับการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ในกลุ่มอาเซียนที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว ก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แถมก้าวไปอีกขั้น เมื่อข้อตกลง RCEP ที่รวมเอาประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ อย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เข้ามาอยู่เขตการค้าเสรีเดียวกันกับ 10 ประเทศอาเซียน ก็มาได้ข้อยุติทั้ง 20 บท ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากเริ่มคุยกันมานมนานหลายปี เหลือเพียงพิธีการเซ็นสัญญาที่จะทำกันในปีหน้าเท่านั้น...
แต่หลายคนก็คงจะงงกับการเดินเกมของประเทศมหาอำนาจอย่าง "สหรัฐอเมริกา" อยู่เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าอาเซียนเป็นเวทีแข่งขันชิงดีกันระหว่าง จีนกับสหรัฐฯ ในการเพิ่มอิทธิพลบารมีของตน
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ "โดนัลด์ ทรัมป์" กลับส่งตัวแทนระดับรองๆ อย่าง "โรเบิร์ต โอไบรอัน" ผู้เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่า“อธิบดี”มาเป็นตัวแทน
ตรงกันข้ามกับชาติพันธมิตรอื่นๆ ของอาเซียน ซึ่งต่างก็ส่งระดับประมุขของรัฐบาลมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น "หลี่ เค่อเฉียง" นายกรัฐมนตรีจีน "ชินโซ อาเบะ" นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น "มุน แจอิน" ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ "นเรนทรา โมดี" นายกรัฐมนตรีอินเดีย "ดมีตรี เมดเวเดฟ" นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ฯลฯ
และแล้ว เมื่อ“ทรัมป์”ส่งมือรองมาเช่นนี้ ผู้นำชาติอาเซียนเอาคืนเช่นกัน ...ในการประชุมซัมมิต “สหรัฐฯ-อาเซียน”วันที่ 4 พ.ย. มีรายงานข่าวว่า พวกเจ้าหน้าที่อเมริกัน พยายามรบเร้าเหล่าผู้นำทั้ง 10 ชาติของอาเซียนให้เข้าร่วมการหารือ ... แต่เหล่าผู้นำอาเซียนตัดสินใจที่จะส่งระดับผู้นำเพียง 3 คน ได้แก่ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีไทย ในฐานะเจ้าภาพ นายกรัฐมนตรี "เหวียน ซวน " ของเวียดนาม ในฐานะเจ้าภาพครั้งต่อไป และ นายกรัฐมนตรี "ทองลุน สีสุลิด" ของลาว ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เข้าประชุมกับ "โอไบรอัน" เพื่อรักษามารยาทไว้เท่านั้น
ส่วนผู้นำอีก 7 ประเทศที่เหลือ ได้แก่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา และเมียนมา ส่งเพียงรัฐมนตรีต่างประเทศเข้าร่วม
ท่าทีของผู้นำ 7 ชาติอาเซียน ทำให้ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย มีความกังวลเช่นกัน เพราะ"โดนัลด์ ทรัมป์" ได้ส่งจดหมายผ่านมาทาง "โอไบรอัน" เชิญให้ผู้นำอาเซียน ไปประชุมซัมมิตนัดพิเศษ ที่สหรัฐอเมริกา ก็ไม่รู้ว่าเมื่อโดนกระทำแบบนี้แล้ว จะมีกี่คนที่จะไปตามคำเชิญ
ผู้นำมหาอำนาจเบอร์หนึ่งโลก อย่าง"โดนัลด์ ทรัมป์" น่าจะรู้ว่า การประชุมซัมมิตประจำปีของอาเซียน เป็นช่องทางให้เหล่าผู้นำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ติดต่อรับมือกับมหาอำนาจสำคัญของโลกในฐานะที่เป็นกลุ่มก้อน... การที่ ทรัมป์ ตัดสินใจไม่เข้าร่วมการประชุม แถมไม่ส่งรองประธานาธิบดี "ไมค์ เพนซ์" หรือกระทั่งรัฐมนตรีต่างประเทศ "ไมค์ พอมเพโอ" มาร่วม ทำให้เกิดสุญญากาศทางการทูต เปิดทางให้พวกผู้นำโลกคนอื่นๆ เข้าเติมเต็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี "หลี่ เค่อเฉียง" ของจีน
มิหนำซ้ำ "โอไบรอัน" ยังได้ถือโอกาสแขวะจีนว่า ใช้การข่มขู่เพื่อพยายามหยุดยั้งไม่ให้ชาติอาเซียนเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรนอกชายฝั่งในทะเลจีนใต้ ซึ่งก็โดน "เล่อ อี้ว์เฉิง" รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน โต้กลับว่า มีประเทศภายนอกบางรายกำลังพยายาม “ก้าวก่าย”ในเรื่องทะเลจีนใต้
เรียกได้ว่า สหรัฐอเมริกายุค "โดนัลด์ ทรัมป์" ช่่าง “อยู่ไม่เป็น”จริงๆ

** "ท่านใหม่"บอกพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำ ไม่มีในสารบบการสร้าง ของ "ส.ส.เต้" ที่แจ้งราคาไว้ตั้ง 50 ล้านนั้น "เก๊" แน่นอน ทำเอาเจ้าของพระเสียงอ่อย บอกไม่รู้ ดูไม่เป็นว่าของแท้ ของปลอม และถ้าป.ป.ช.จะให้ปรับราคาลงก็ยินดี

เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่สำนักงานป.ป.ช. เปิดเผยรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของบรรดาส.ส. ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ ก็ปรากฏว่า "ส.ส.เต้" มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่เบาเลยทีเดียว เพราะมีทรัพย์สินเกือบ 200 ล้าน ... ทำเอาภาพลักษณ์ที่ดูเกรียนๆ กลายเป็นคนรวยราศีจับขึ้นมาทันที
แต่ขอโทษ ...ทรัพย์สินที่แจ้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นพระเครื่องมูลค่ากว่า 147 ล้าน องค์แพงๆ ที่ "ส.ส.เต้" ตีราคาไว้ และได้เอามาโชว์ให้สื่อดู ได้แก่ "พระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำ" (หนัก3บาท) เพิ่งได้มาเมื่อปี 2552 ราคา 50 ล้าน... "พระร่วงหลังรางปืน" ได้มาเมื่อปี 2557 ราคา 12 ล้าน และ "พระสมเด็จไกเซอร์" ได้มาเมื่อปี 2555 ราคา 30 ล้าน...
บรรดา "เซียนพระ" ได้ยินได้ฟังแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่ได้บอกว่าพระแท้ พระเก๊ เพียงแต่บอกว่าของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าของจะตีราคา...แต่ถามว่าราคานี้จะมีคนซื้อไหม ...ตอบได้เลยว่า ไม่มี...
ล่าสุด... "ท่านใหม่" ม.จ.จุลเจิม ยุคล คงอดรนทนไม่ไหวที่เห็น ส.ส.แจ้งบัญชีทรัพย์สินกัน "เว่อร์" อย่างนี้ ก็เลยโพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อให้ตาสว่างกัน ว่า... พระกริ่งปวเรศ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสร้างขึ้นนั้น "ไม่มีเนื้อทองคำ"... มีอยู่เนื้อเดียว คือ "เนื้อนวโลหะผิวกลับดำ" เมื่อขัดเนื้อในจะเป็นสีจำปาเทศ และเมื่อทิ้งไว้ถูกกับอากาศ ก็จะกลับดำอีกครั้งในเวลาไม่นาน และเท่าที่ทราบเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ยังไม่มีพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำเลย มีแต่เนื้อนวโลหะ... แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงมีพระกริ่งปวเรศห้อยพระศอ หรืออยู่ในครอบน้ำพระพุทธมนต์ ก็ยังเป็นเนื้อนวโลหะ ไม่ใช่เนื้อทองคำ...
ส่วนพระกริ่งปวเรศ ที่ท่าน ส.ส.โชว์นั้น ผมว่าไม่ใช่พระกริ่งปวเรศ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสร้างขึ้น (ของแท้) แน่นอน...อาจจะเป็นพระกริ่ง (ทองคำ) ที่พระเกจิอาจารย์ หรือนักสร้างพระ สร้างเลียนแบบขึ้นมา และราคาก็ไม่น่าจะถึง 50 ล้าน น่าจะแค่หลักหมื่น หลักแสน (ตามน้ำหนักทอง) ... เค้าเรียกว่าโดน แหกตากันต่อๆไป...
เมื่อเจอคนรู้จริง และกล้า "สวด" เข้าอย่างนี้ "ส.ส.เต้" ก็ได้แต่ออกมายอมรับว่า ตัวเองก็ไม่ใช่เซียนพระ เพียงแต่ชอบ ศรัทธา ในพุทธคุณพระกริ่งปวเรศมาก องค์นี้มีคนให้มาเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เมื่อรู้ว่าพระกริ่งปวเรศ สร้างน้อย ผู้ที่จะมีได้ต้องเป็นชั้นเจ้านาย ผู้สูงศักดิ์ ก็ยิ่งศรัทธา... แต่ตอนนี้มีผู้รู้มาบอก ก็พอจะทราบแล้วว่า พระกริ่งปวเรศ ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงสร้างขึ้น มีแค่เนื้อเดียวคือเนื้อนวโลหะผิวกลับดำ มีไม่เกิน 8 องค์ ส่วนพระกริ่งปวเรศเนื้อทองคำ สร้างประมาณ 100-200 องค์ น่าจะสร้างในยุคสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ พระองค์ก่อน ทราบว่าสร้างหลายรุ่น
สำหรับองค์ที่แจ้ง ป.ป.ช.นั้น ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นรุ่นไหน แต่น่าจะเป็นทองคำ 80-90% หรืออาจจะเป็นของเก๊ หรือของจริง ก็ไม่ทราบได้ ส่วนราคาที่ตั้งไปนั้น ก็เปิดหาราคากลางจากอินเตอร์เน็ต ... แต่ถ้า ป.ป.ช.ต้องการให้ลดราคาพระที่ชี้แจงไป ก็พร้อมปรับลดลงมาตามที่ป.ป.ช.ต้องการ... แต่ถึงอย่างไร พระกริ่งปวเรศองค์นี้ ก็มีค่าสูงมากในใจกระผมตลอดไป
เมื่อประเด็นเป็นอย่างนี้ คงไม่แคล้วที่ "นักร้อง" อย่าง ศรีสุวรรณ จรรยา ต้องออกมาจัดให้ "ส.ส.เต้" อีกสักเรื่องเป็นแน่แท้

---------
รูป
-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ หลี่ เค่อเฉียง
-โดนัลด์ ทรัมป์
-มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
กำลังโหลดความคิดเห็น