xs
xsm
sm
md
lg

น้ำมัน “Shale Oil” กับภาวะ “อเมริกาตายก่อน”

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
เห็นข่าวแวบๆ...จากเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของเรานี่เอง เมื่อช่วงวันเสาร์ (2 พ.ย.) ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลอังกฤษ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง อย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” ผู้ได้ชื่อว่า “ทรัมป์ 2” ด้วยเหตุเพราะออกอาการ “บ้า...ก็บ้าวะ” ไม่น้อยไปกว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มากมายสักเท่าไหร่นัก ได้ตัดสินใจประกาศ “พัก” หรือสั่งระงับการขุดเจาะหาแก๊สและน้ำมันในอังกฤษด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า “Fracking” จากชั้นหินดินดาน ลงไปเรียบร้อยแล้ว!!!

หลังจากที่ก่อนหน้านั้น...เคยแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือ กะจะเดินตามรอยเท้าผู้นำอเมริกาแบบก้าวต่อก้าว หรือแบบเห็นช้างขี้-คิดจะขี้ตามช้าง อะไรประมาณนั้น ด้วยการคิดสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปพลังงานจากชั้นหินดินดาน เพื่อที่จะลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานของประเทศอังกฤษลงไปให้จงได้ เพราะขนาดประเทศอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่นำเข้าพลังงานสูงที่สุดในโลกมาโดยตลอด แต่เมื่อผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” หันมาสนับสนุนส่งเสริมกรรมวิธีการขุดหาพลังงาน แบบ “Fracking” หรือ “F-cking” อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ แบบชนิดไม่คิดจะบันยะบันยังใดๆ แม้แต่น้อย อเมริกาไม่เพียงแต่จะกลายเป็นประเทศ “ผู้ส่งออกน้ำมัน” ไปแล้ว ปริมาณสำรองน้ำมันอเมริกาทุกวันนี้ ยังปาเข้าไปถึงไม่ต่ำกว่า 246,000 ล้านบาร์เรลเป็นอย่างน้อย โดยประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ว่า ก็คือ “Shale Oil” ที่ได้มาจากการ “แฟรกกิ้ง” หรือ “ฟักกิ้ง” ทั้งหลายนั่นแล...

แต่ว่ากันว่า...อาจเป็นเพราะช่วงระหว่างนี้ กำลังเป็นช่วงหาเสียง หาคะแนนนิยม สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 12 ธันวาคมที่จะถึง แม้ว่า “ทรัมป์ 2” หรือนายกฯ “บอริส จอห์นสัน” ท่านอยากจะ “แฟรกกิ้ง” หรือ “ฟักกิ้ง” ตามแบบฉบับของทรัมป์ตัวจริง เสียงจริง เพียงใดก็ตาม แต่ด้วยเหตุที่บรรดาชาวอังกฤษจำนวนไม่น้อย ไม่ว่า “ผู้ดี” หรือ “ไพร่” ก็แล้วแต่ ออกจะเป็นผู้ให้ความสำคัญกับเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” มิใช่น้อย ถึงขั้นเคยตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2050 ให้จงได้ การ “บ้า...ก็บ้าวะ” ตามแบบผู้นำอเมริกา จึงอาจเป็นอะไรที่บ้าแล้ว-บ้าเลย หรือบ้าไม่ถูกกาลเทศะมากมายสักเท่าไหร่นัก ส่งผลให้กระทรวงธุรกิจพลังงานและยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษ เลยต้องออกมาป่าวประกาศในแถลงการณ์เอาไว้ประมาณว่า “กิจกรรมการสำรวจเพื่อพิจารณาว่าชั้นหินดินดาน สามารถเป็นแหล่งพลังงานใหม่ให้กับประเทศสหราชอาณาจักรได้หรือไม่นั้น จะต้องถูกพักเอาไว้ก่อน จนกว่าจะได้ข้อพิสูจน์ยืนยันว่าสามารถทำได้อย่างปลอดภัย...”หรือพูดง่ายๆ ว่า รอให้ “ผ่านเลือกตั้ง” ไปซะก่อน ถึงค่อยหันมา “บ้า...ก็บ้าวะ” หรือค่อยมา “แฟรกกิ้ง-ฟักกิ้ง” กันอีกที...

เพราะเรื่องของการขุดหาพลังงาน ไม่ว่าแก๊สหรือน้ำมันจากชั้นหินดินดานนั้น...ต้องถือเป็นเรื่องที่แทบไม่ต้องเสียเวลาหาข้อพิสูจน์หรือหลักฐานยืนยันอะไรกันมากมาย เนื่องจากกระทั่งในอเมริกาเองก็เถอะ หลักฐานและข้อพิสูจน์เหล่านี้ได้ถูกสรุปไว้อย่างชนิดชัดเจนแจ่มแจ้ง โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และโดยหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกันเอง อย่างเช่นหน่วยงาน “USGS” หรือ “United State Geological Survey” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 โน่นเลยเห็นได้จากข้อสรุปในรายงานการศึกษาของ 2 นักวิจัย “USGS” อย่าง “Susan Hough” และ “Morgan Page” ที่ได้พยายามรวบรวมสถิติข้อมูลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวบริเวณรอบๆ รัฐโอคลาโฮมา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 มาจนถึงปี ค.ศ. 2015 แล้วได้ตัดสินใจ “ฟันธง” ลงไปแบบเต็มผืน เต็มด้าม ประมาณว่า... “การอัดฉีดน้ำ สารเคมีและทรายลงไปใต้ชั้นหินลึกๆ เพื่อสกัดเอาน้ำมันและแก๊สออกมาจากแหล่งขุดต่างๆ ตลอดช่วงระยะที่ผ่านมา คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการกัดกร่อนชะล้างเกลือใต้ดิน ที่เป็นตัวเชื่อมรอยต่อ รอยแยกในชั้นหิน อันทำให้เกิดภาวะแผ่นดินไหวตามมานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 จนถึงบัดนี้...”

ด้วยสถิติ ข้อมูล การวิจัย ที่เป็นไปตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เช่นนี้...เลยทำให้รัฐบาลอเมริกายุคที่ยังไม่ถึงกับบ้า ต้องหาทางสกัดกั้น กระบวนการขุดหาพลังงานด้วยกรรมวิธีดังกล่าว ไม่ว่าในระดับรัฐบาลกลางรัฐบาลท้องถิ่น จนอุตสาหกรรม “Shale Oil” ของสหรัฐฯ ต้องแผ่วปลาย เหี่ยวปลายลงไปตามลำดับ แต่เมื่อมาถึงยุคของ “ทรัมป์บ้า” ที่ไม่ได้คิดสนใจเรื่องของโลก เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องโลกร้อนใดๆ เอาเลยแม้แต่นิด สนใจแต่ “ตัวกูเอง” ตามแบบฉบับ “อเมริกาต้องมาก่อน” ในทุกเรื่อง ทุกกรณี การขจัดอุปสรรคขัดขวางเพื่อให้อุตสาหกรรมชนิดนี้ ฟื้นคืนกลับมาสร้างรายได้ สร้างตำแหน่งงาน ไปจนสร้าง “อำนาจต่อรอง” ทางการเมือง อาศัยปริมาณน้ำมัน “Shale Oil” ที่เพิ่มขึ้นๆ ชนิดแทบล้นตลาด เป็นตัวแทรกแซงระดับราคา เป็นเครื่องมือในการกดดัน แซงชั่น ประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่เป็นศัตรูคู่กัดกับอเมริกา ไม่ว่าอิหร่าน เวเนซุเอลา ไปจนถึงรัสเซีย อย่างชนิดได้ผลเอามากๆ...ฯลฯ ฯลฯ

แต่สุดท้าย...ก็นั่นแหละ กงกำ-กงเกวียนย่อมมาถึง แม้ว่าการผลิตน้ำมัน “Shale Oil” ยุค “ทรัมป์บ้า” จะระเบิดเถิดเทิงไปถึงขั้นมีปริมาณการผลิตถึง 14.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงกว่าคลังน้ำมันซาอุฯ ที่เพิ่งถูกระเบิดไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ด้วยเหตุเพราะ “ต้นทุนการผลิต” ที่ออกจะสูงกว่าการผลิตโดยทั่วไปตามปกติ หรือแบบที่เรียกว่า “Conventional oil product” คือต้องอาศัยแรงอัดฉีดของน้ำ (Hydraulic Fracturing) ที่ผสมกับสารเคมีร้ายๆ ประเภท “Acidizing Chemical” หรือ “กรดกัดแก้ว” อะไรทำนองนั้น ไปจนถึงการอัดเมล็ดทรายจำนวนมาก เข้าไปทำให้รอยแยก-รอยแตกของชั้นหิน ชั้นดิน ต้องคายแก๊ส คายน้ำมัน ให้ไหลทะลักออกมาเป็นเงิน เป็นทองไปจนได้ นอกจากต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมากในหลุมขุดแต่ละหลุมแล้ว ยังต้องหาทางรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม ไม่ให้พังพินาศตามไปด้วย อันเนื่องมาจากการปนเปื้อนของสารเคมีที่แผ่กระจายไหลซึมไปยังแหล่งน้ำใต้ดิน อันเป็นสาเหตุ ต้นเหตุให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เกิดโรคหัวใจ โรคประสาทต่อผู้อยู่อาศัยใกล้ๆ แหล่งขุดเจาะนั้นๆ ดังที่รายงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเพนซิลเวเนีย โดยหน่วยงาน “EHSCC” (Environment Health Sciences Core Center) ได้ระบุไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ 2014 ว่ามาจากสาเหตุเพราะการ “แฟรกกิ้ง” หรือ “ฟักกิ้ง” ทำนองนี้นี่เอง...

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ผลิตแต่ละราย ที่แบกค่าใช้จ่าย หรือแบกต้นทุนการผลิตไม่ไหว ค่อยๆ ทิ้งหลุมขุดเจาะในอเมริกากันไปชนิดรายแล้ว รายเล่า ไม่ว่าในรัฐ North และ South Dakota ใน Alaska, Colorado, Wyoming ไปจนถึง Texasฯลฯ จากที่เคยแห่ไปขุดเจาะนับเป็นพันๆ หลุมในแต่ละรัฐ ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มาบัดนี้...ตัวเลขปริมาณการขุดลดลงไปถึง 10-20 เปอร์เซ็นต์ เกิดการทิ้งหลุมขุดเจาะให้กลายเป็นหลุมแห้งๆ ที่สร้างปัญหา ทิ้งปัญหาให้รัฐบาลท้องถิ่นแต่ละรัฐ ต้องควักเงินภาษีอากรของราษฎรไปใช้ในการฟื้นฟูสภาวะแวดล้อมให้คืนๆ กลับมาได้มั่ง เพราะเงินค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ที่ผู้ขุดเจาะในแต่ละหลุมค้ำประกันไว้กับรัฐต่างๆ ไม่พอรักษาบาดแผลที่เกิดจากการ “ฟักกิ้ง” ใดๆ ได้เลย ตำแหน่งงานในรัฐเท็กซัส จากอุตสาหกรรมชนิดนี้ นับพันๆ ตำแหน่งลดวูบหายไปกว่า 1,100 ตำแหน่ง ส่งผลให้เศรษฐกิจรัฐเท็กซัส ที่เคย “ส่งออกน้ำมัน” ไปเอเชียหรือที่ไหนๆ ทำท่าว่าจะพังครืนเอาง่ายๆ หรืออาจส่งผลให้ “อเมริกามาก่อน” กำลังกลายเป็น “อเมริกาตายก่อน” ในอีกไม่กี่อึดใจ และย่อมทำให้คะแนนเสียง คะแนนนิยมของ “ทรัมป์บ้า” เริ่มหนักไปทาง “บ้าไม่ออก” ยิ่งเข้าไปทุกที...


กำลังโหลดความคิดเห็น