รอยเตอร์ – รัฐบาลอังกฤษมีคำสั่งให้ระงับการใช้เทคโนโลยี ‘fracking’ ขุดเจาะก๊าซจากหินดินดาน (shale gas) ในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดแผ่นดินไหว
รัฐบาลนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน เคยแสดงท่าทีส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาตินำเข้าซึ่งเป็นแหล่งพลังงานให้กับครัวเรือนในอังกฤษถึง 80%
อย่างไรก็ตาม เทคนิคการขุดเจาะแบบ fracking ซึ่งเป็นการฉีดน้ำผสมสารเคมีด้วยกำลังแรงอัดสูงเข้าไปยังชั้นหินเพื่อสกัดก๊าซธรรมชาติก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากบรรดานักสิ่งแวดล้อม และยังถูกวิจารณ์ว่าขัดต่อเป้าหมายของอังกฤษที่จะลดการปลดปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050
ประกาศจากรัฐบาลอังกฤษมีขึ้นในขณะที่นายกฯ จอห์นสัน กำลังเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.
“กิจกรรมสำรวจเพื่อพิจารณาว่าหินดินดานจะสามารถเป็นแหล่งพลังงานใหม่ภายในประเทศให้กับสหราชอาณาจักรได้หรือไม่นั้น... จะถูกพักเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีข้อพิสูจน์ยืนยันว่าสามารถกระทำได้อย่างปลอดภัย” กระทรวงธุรกิจ พลังงาน และยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษ ระบุในถ้อยแถลง
เมื่อเดือน ส.ค. ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.9 แมกนิจูดเขย่าบ้านเรือนประชาชนรอบๆ สถานที่ขุดเจาะก๊าซธรรมชาติของบริษัทคัวดริลลา (Cuadrilla) ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองแบล็คพูลทางตอนเหนือของอังกฤษ
ชาวบ้านในชุมชนได้ออกมารณรงค์ต่อต้านการขุดเจาะแบบ fracking และมีคนถูกจับหลายร้อยคนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากความพยายามขัดขวางงานของคัวดริลลา
เทคนิค fracking เพิ่งจะถูกรื้อฟื้นในอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว หลังถูกระงับไปนาน 7 ปีเนื่องจากเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผ่นดินไหว 2 ครั้ง
องค์การน้ำมันและก๊าซ (OGA) ซึ่งควบคุมและส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในอังกฤษได้เข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่แบล็คพูล และออกรายงานสรุปว่า ไม่สามารถที่จะคาดการณ์หรือทำนายความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกิดจากเทคนิค fracking ได้