สงสัยว่าวันนี้...คงไม่ต้องเสียเวลา “เปิดเล้าไก่” บินไปไหนต่อไหน ด้วยเหตุเพราะ “อีแร้ง” อย่างคุณพ่ออเมริกา ท่านออกเรี่ยว ออกแรง บินข้ามน้ำ ข้ามฟ้า มาจิกตีไก่ไทยชนิดเลือดสาด ปีกหัก หางลู่กันถึงที่ โดยการประกาศว่าจะตัดสิทธิพิเศษทางการค้า หรือเรียกๆ กันว่า “จีเอสพี” สินค้าไทยประมาณ 1 ใน 3 ของรายการสินค้าทั้งหมด มูลค่าประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ ภายในช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้านับจากนี้ เล่นเอากระทั่งศิลปินลูกไทย เลือดไทย อย่างคุณน้า “แอ๊ด คาราบาว” ถึงขั้นควันออกหู ต้องออกมาชูกำปั้น ยุให้ไทย “สู้ๆ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า...
คือแม้ว่ามูลเหตุ ต้นสายปลายเหตุของการจิกตีไก่ไทยโดยอีแร้งอเมริกาคราวนี้...มันยังไม่ถึงกับชัดเจนลงไปซะทีเดียวนัก ว่าเป็นเพราะการไม่มี “มาตรการปกป้องสิทธิแรงงานในประเทศ” อย่างเป็นมาตรฐาน ดังที่คุณพ่ออเมริกาท่านอ้างเอาไว้อย่างเป็นทางการ หรือเป็นเพราะการไม่คิดจะกินเครื่องในหมู ไส้หมู หรือหมูเนื้อแดงที่คุณพ่ออเมริกาท่านพยายามยัดเยียดส่งมาขายในบ้านเรามานานแล้ว หรือจะเป็นเพราะการคิด “แบนสารพิษ 3 รายการ” ที่มีบริษัทอเมริกันเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ ชนิดไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน ออกมาประสานเสียงเห็นควรด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ ยกเว้นแต่ข้าราชการแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ฯลฯ แต่โดยสรุปรวมๆ แล้ว การบินมาจิกตีไก่ไทยโดยตรงของอีแร้งอเมริกาคราวนี้ ก็ยิ่งน่าจะทำให้บรรดา “ทวยไทย” ทั้งหลาย น่าจะเห็นถึง “วาสนา” (สันดาน) ของประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ได้อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง หรืออย่างแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบายใดๆ อีกต่อไปแล้ว...
เรียกว่า...แต่ไหนแต่ไรมา ประเทศอเมริกันนั้น ต้องถือว่าเป็นประเทศที่ “เห็นแก่ตัว” และ “เห็นแก่ได้” มาตั้งแต่อ้อน แต่ออก แม้จะเริ่มก่อร่างสร้างตัวมาจากบรรดาผู้อพยพลี้ภัยที่หวังจะได้มาซึ่ง “อิสรภาพ” ในทางศาสนา แต่หลังจากที่พวกนายทุน นายธนาคาร ที่มีแต่ความโลภเป็นที่ตั้ง มีเงินๆ ทองๆ เป็น “พระเจ้า” มีความเชื่อมั่นศรัทธา ตามแบบฉบับ “In God We Trust” ก็แต่เฉพาะ “God” ที่อยู่ในธนบัตรดอลลาร์แต่เพียงเท่านั้นเข้าไปยักย้ายถ่ายเท ควบคุมบริหารกลไกต่างๆ ผู้ที่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” ของชาวอเมริกันมาตั้งแต่เริ่มแรก อย่างพวก “อินเดียแดง” ทั้งหลายนั้น ออกจะเป็นอะไรที่น่าหดหู่ น่าเวทนา น่าสงสารเอามากๆ ชนิดถึงขั้นต้อง “สูญพันธุ์” ไปเป็นเผ่าๆ เอาเลยก็ยังมี...
ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของ “จักรวรรดิอเมริกัน” จึงเป็นสิ่งที่โลกทั้งโลกได้รับรู้ รับทราบกันมานานแสนนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นด้วยความแข็งแกร่งทางทหาร การอาศัยเหลี่ยมเล่ห์เพทุบายในทางเศรษฐกิจการเงิน รวมไปถึงขีดความสามารถในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ก็สามารถทำให้ใครต่อใคร “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” มาโดยตลอด เกิดความหลงใหล ประทับใจต่อ “เสรีภาพ” และ “ประชาธิปไตย” แบบอเมริกัน จนอยากหันมาเปลี่ยนแปลงประเทศตัวเอง ให้กลายเป็น “อาณานิคมทางปัญญา” หรือเป็น “ทาสแบบใหม่” เป็น “อาณานิคมแผนใหม่” กันชนิดรายแล้ว รายเล่า แต่สุดท้าย...เมื่อ “ความจริง” ที่รอได้ (เพราะรอคอยกันมาจนชินซะแล้ว) ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างแต่ละตัวอย่าง ในแต่ละซีกโลก แต่ละทวีป ที่สะท้อนให้เห็นถึง “ความเห็นแก่ตัว” ของจักรวรรดิอเมริกา นับตั้งแต่สิ้นสุดยุค “สงครามเย็น” เป็นต้นมา เป็นประจักษ์พยานยืนยันอย่างแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่อเมริกามีผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” อันเนื่องมาจาก “ด้วยเหตุเพราะประเทศนี้มันมีกรรม-จึงได้ทรัมป์มาเป็นนายขายหน้าเอย” ตามที่นักวิชาการไทย อาจารย์ “ปราโมทย์ นาครทรรพ” ท่านได้รจนาเป็นบทกวีเอาไว้ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของอเมริกา ที่ถูกสะท้อนออกมาจาก “สัญชาตญาณดิบ” แบบชนิด “America First” หรืออเมริกาต้องมาก่อนสิ่งอื่นๆ ใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น จึงกำลังกลายเป็นหอกทิ่มแทงประเทศนี้ ชนิดยากส์ส์ส์เหลือเกินที่จะกลับมา “Grate Again” ได้อีกต่อไป มีแต่ต้องเดินลงเหว ลงเขา เดินไปสู่ภาวะ “อวสานอเมริกา” ไม่ว่าช้า หรือเร็ว นับจากนี้เป็นต้นไป...
การที่ประเทศเล็กๆ แต่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์มิใช่น้อยในภูมิภาคนี้ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา...ต้องโดนตัดสิทธิ “จีเอสพี” คราวนี้ ไม่ว่าจะก่อให้เกิดความสูญเสียสักกี่หมื่น กี่พันล้านดอลลาร์ ว่าไปแล้ว...ยังถือเป็นเรื่อง “ชิวๆ” เมื่อเทียบกับ “เหยื่อ” รายอื่น ที่ถูกความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ของรัฐบาลอเมริกันเล่นงานเอา อย่างพวก “ชาวเคิร์ด” ในซีเรีย ที่ถูก “แทงข้างหลัง” ชนิดมีดปักคาศพนับเป็นหมื่นศพ ซาอุดีอาระเบีย...ที่ชักเริ่ม “ถอยดีกว่า ไม่อาวว์ว์ดีกว่า” กับการดำรงตนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของคุณพ่ออเมริกา เกาหลีใต้ที่อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเป็นพันธมิตรกับอเมริกา จากระดับปีละพันล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็นห้าพันล้านดอลลาร์ ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ยันไปถึงเวียดนาม ที่เพิ่งเปิดรับความเป็นมิตรกับอเมริกา เพื่อหวังจะอาศัยเป็นตัวเกะกะมือ เกะกะตีน ประเทศจีน ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ต่างสัมผัสถึงความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของจักรวรรดิอเมริกาหนักขึ้นๆ ไปตามลำดับ...
บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้...จึงทำให้ไม่ได้ถือเป็นเรื่อง “แปลก” หรือเรื่องใหญ่โตอะไรมากมาย สำหรับการหันมาจิกตีไก่ไทยโดยอีแร้งอเมริกา ชนิดคาเข่ง คาเล้า ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เพราะสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ...ไม่ว่าประเทศไทย รัฐบาลไทยจะคิด “แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ไปแนวไหน อย่างไร แต่สิ่งที่ควรนำมาขบคิดพิจารณาเอาไว้ซะตั้งแต่เนิ่นๆ ก็น่าจะเป็นว่า...นับแต่นี้ ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย ควรวางบทบาท ควรกำหนดระยะความสัมพันธ์กับประเทศอเมริกากันไปในลักษณะไหน โดยเฉพาะในช่วงระยะยาว หรือช่วงที่ภาวะ “อวสานอเมริกา” ยิ่งก่อรูป ก่อร่าง ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที จะหันไปซบตักหมีขาว หรือเกาะแข้งเกาะขามังกรจีนเอาดื้อๆ ก็ออกจะเป็นอะไรที่หยาบๆ ง่ายๆ จนเกินไป...
เพราะในโลกที่มันกำลังจะเปลี่ยนผ่าน จากโลกแบบ “ขั้วอำนาจเดียว” อันมีอเมริกาเป็นมหาอำนาจสูงสุด ไปสู่โลกแบบ “หลายขั้วอำนาจ” มันยังมีอะไรที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนอีกมากมายเยอะแยะ อย่างที่ผู้นำประเทศอิหร่าน ประธานาธิบดี “ฮัสซัน โรฮานี” ท่านได้พยายามชี้ให้เห็นระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงการประชุมสุดยอดครั้งที่ 18 ของกลุ่มประเทศผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หรือ “Non-Aligned Movement” (NAM) ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมาว่า... “การเปลี่ยนผ่านจากโลกแบบขั้วอำนาจ ไปสู่โลกแบบหลายขั้วอำนาจ” กำลังเป็นไปอย่างรวดเร็วเอามากๆ จนทำให้บรรดาประเทศที่กำลังพัฒนากว่า 120 ประเทศที่เคยรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 เป็นประเทศสมาชิก 2 ใน 3 ของสหประชาชาติ และเป็นกลุ่มก้อนที่มีพื้นที่และจำนวนประชากรกว่าครึ่งโลก คงต้องช่วยกันคิดอย่างละเอียดและประณีต ว่าจะสามารถยกระดับบทบาทของตัวเอง จากที่เคยขึ้นๆ ลงๆ มาก่อนหน้านี้ ให้กลายเป็นบทบาทที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นหนึ่งใน “ขั้วอำนาจใหม่” ภายใต้โลกแบบหลายขั้วอำนาจ ได้แบบไหน อย่างไร...