ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
เนื่องในโอกาสที่กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้ออกประกาศของกระทรวงสาธารณสุขในการที่จะยกเลิกการผลิต นำเข้า และจำหน่าย ไขมันทรานส์ ในสิ้นปี พ.ศ. 2561 นี้ หลายคนฟังแล้วยังไม่เข้าใจ และยิ่งก้าวไปถึงไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัวด้วยแล้ว ก็ยิ่งเกิดความยุ่งยากในความเข้าใจว่าไขมันอะไรดีหรือร้ายกันแน่
โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวซึ่งมี “พันธะเดี่ยว” ในการยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมของคาร์บอนด้วยกัน ในขณะที่ไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งมี “พันธะคู่”ในการยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมของคาร์บอนด้วยกัน เป็นเรื่องที่ฟังเข้าใจยากเกินกว่าที่ประชาชนและชาวบ้านจะเข้าใจได้
ผู้เขียนได้เคยบรรยายเปรียบเทียบบ้างกับแขนและขาของตัวเองกับอะตอมของคาร์บอน ก็ดูจะสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไปได้เข้าใจขึ้นบ้าง แต่เมื่อมีการอธิบายเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์กับคำว่า “อิ่มตัว”, “ไม่อิ่มตัว” และ “ทรานส์” กับเรื่องความรักและความสัมพันธ์ของผัวเมีย อาจจะช่วยทำให้ประชาชนได้มีความเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้
ขอหยิบยกเรื่องความสัมพันธ์หรือพันธะระหว่างบุคคล 2 คนที่มีความรักต่อกัน เปรียบเสมือนแขนที่จับกันระหว่างอะตอมของคาร์บอน 2 อะตอม
“ไขมันอิ่มตัว” ได้แก่ น้ำมันมะพร้าว เนย ชีส น้ำมันหมู ฯลฯ ภาษาไทยก็ใช้คำได้ตรงมาก เพราะชื่อก็บอกแล้วว่า “อิ่มตัว” คำว่า “อิ่ม”ในพจนานุกรมแปลเป็นไทยให้ความหมายในเชิงบวกว่า เต็ม, พอแล้ว, หายหิว, หายอยาก
การอุปมา “ไขมันอิ่มตัว” กับความรักที่เต็มและหายหิวนั้น ก็เทียบได้กับความรักที่ไม่แปรเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนใจ เพราะมีความอิ่มเอิบในความรักที่ให้กันและกัน เป็นความรักที่ให้กันแบบเต็มอิ่ม ไม่ต้องการความรักจากใครให้มาแทรกอีก เป็นความสัมพันธ์ที่มีพันธะแข็งแรง เทียบได้กับ “แขนเดี่ยว” ยึดเหนี่ยว เป็นแนวเส้นตรงระหว่างคาร์บอนด้วยความแข็งแรง ถ้าเทียบกับความแข็งแรงแบบนี้ก็เหมือนพวกเหล็กเส้นขนาดใหญ่ที่เชื่อมกันไว้ไม่บิดเบี้ยว
ในขณะที่ “ไขมันไม่อิ่มตัว” ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว ฯลฯ ก็ให้ความหมายตรงกันข้ามคือ ยังไม่พอ ยังไม่เต็ม ยังไม่หายหิว ยังไม่หายอยาก ยังมีความต้องการไม่สิ้นสุดไม่รู้จักพอ
การอุปมา “ไขมันไม่อิ่มตัว” กับความรักที่ยังไม่เต็มอิ่ม ก็เป็นความรักที่ยังเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนใจได้ คบซ้อนนอกใจได้ เพราะความรักที่เติมให้กันนั้นไม่เป็นที่พอใจมากพอ เป็นความสัมพันธ์ที่มีพันธะอ่อนแอ เทียบได้กับ “แขนคู่” ที่ยึดเหนี่ยวระหว่างคาร์บอน 2 แขน แม้ดูผิวเผินว่ามีตั้ง 2 แขนยึดเหนี่ยวกัน แต่ด้วยองศาที่จับกันถึง 2 แขนนี้เองจึงไม่สามารถจับกันเป็นเส้นตรงอย่างแข็งแรงแบบไขมันอิ่มตัวได้ จึงต้องไปจับโค้งอ้อมๆทั้ง 2 แขน ทั้ง 2 แขนจึงไม่แข็งแรง หลุดออกง่าย บิดตัวได้ง่าย
เมื่อบรรยากาศข้าวใหม่ปลามันหายไป แต่ความรักที่เป็นแบบไขมันอิ่มตัวก็ยังมีความผูกพันกันเหมือนเดิม เมื่อเวลาผ่านไปนานมากขึ้น สูงวัยมากขึ้น ความเสื่อมชราก็ยังไม่สามารถทำลายความผูกพันและพันธะแบบไขมันอิ่มตัวได้เลย เปรียบเสมือนว่าความแข็งแรงไขมันอิ่มตัวที่ออกซิเจนไม่สามารถเข้าทำปฏิกิริยาได้ เกิดอนุมูอิลสระได้ยาก ดังนั้นไขมันอิ่มตัวจึงมักจะหืนยาก เปรียบเสมือนความรักที่เสื่อมสลายได้ยากแม้เวลาผ่านไป
ในทางตรงกันข้ามเมื่อบรรยากาศข้าวใหม่ปลามันหายไป ความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัวก็เริ่มเจือจาง เมื่อเวลาผ่านไปนานมากขึ้นเพียงแค่ “ออกซิเจน” เข้าทำปฏิกิริยากับพันธะที่อ่อนแอของไขมันไม่อิ่มตัว ก็เกิดการหืนตัว เปรียบเสมือนสังขารที่ไม่เที่ยงเมื่อความชราเข้ามาเยือน ก็จะทำให้เกิดความรักที่มีกันแต่เดิมกลับหืน หมางเมิน ยิ่งนานวันก็ยิ่งเบื่อหน่าย แตกร้าว
โบราณกล่าวเอาไว้ว่า “ลิ้นกับฟันกระทบกันเป็นเรื่องธรรมดา” เปรียบเสมือนความสัมพันธ์ระหว่างคู่สามีและภรรยาทะเลาะและมีปากเสียงเดือดดาลกันนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ทำให้เกิดความร้อนในครอบครัว พบได้ทั้งไฟโทสะ โลภะ และโมหะ
ในขณะเดียวกันยังมีไฟอีกประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นกัน คือ ไฟจากมือที่ 3 ที่เข้ามาแทรกแซง ไม่ว่าในนาม กิ๊ก แฟนใหม่ ภรรยาน้อย ชายชู้ ก็เป็นไฟอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ไฟราคะ” ที่จะคอยท้าทายความสัมพันธ์ที่มั่นคงของคู่สามีและภรรยาอยู่ทุกคู่ว่าจะสร้างรอยร้าวได้มากเพียงใด
ในความสัมพันธ์ของ “ไขมัน” กับ “ความร้อน” ก็เช่นเดียวกัน ก็ถูกท้าทายอยู่เสมอว่าจะทำให้เกิดการแยกพันธะจากความร้อนได้มากน้อยเพียงใด
“ไขมันอิ่มตัว” (น้ำมันมะพร้าว, เนย, ชีส, น้ำมันหมู) เมื่อโดนความร้อน จะกลายสภาพได้ยาก เพราะเปรียบได้กับแขนที่ยึดเหนี่ยวระหว่างคาร์บอนซึ่งยึดด้วย “พันธะเดี่ยว” แข็งแรงไม่แปรเปลี่ยน จึงสามารถทนสภาพความร้อนได้สูง ออกซิเจนเข้าแทรกแซงได้ยาก เกิดอนุมูลอิสระได้น้อย สังเกตุได้จากเมื่อนำไขมันอิ่มตัวมาผัดทอด (น้ำมันมะพร้าว เนย ชีส น้ำมันหมู) คราบที่ติดอยู่ตามกระทะ จานและภาชนะที่ใช้ ตลอดจนผนังและเครื่องครัวจะสามารถเช็ดและล้างออกได้ไม่ยากเลย
ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะ “ไขมันอิ่มตัว” ส่วนใหญ่เกิดในอุณหภูมิที่ร้อน ธรรมชาติจึงออกแบบให้ไขมันมีสภาพอิ่มตัวเพื่อจะทนความร้อนได้ดีเป็นพิเศษเพื่อที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะยังคงสามารถใช้พลังงานจากไขมันให้เป็นของเหลวได้โดยไม่เสียหายแม้จะอยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนก็ตาม ดังนั้นแม้จะนำไปผัดทอดเปรียบเสมือนกับการทะเลาะกันของคนในครอบครัวที่มีความผูกพันแข็งแรง ทำอย่างไรก็ไม่เลิกรากัน ให้อภัยกันได้ แม้กระทั่งความเสียหายหรือรอยร้าวทางใจก็ถูกลบล้างออกได้ง่าย เหมือนเช็ดคราบไขมันที่อิ่มตัวออกจากหลังจากผัดทอดได้ไม่ยาก
ด้วยเหตุผลนี้ไขมันอิ่มตัวซึ่งมีความแข็งแรงอยู่แล้วโดยส่วนใหญ่จะมี “วิตามินอี” ไม่มากนัก เพราะวิตามินอีมีไว้เพื่อต้านอนุมูลอิสระให้กับไขมัน เมื่อไขมันอิ่มตัวมีพันธะแข็งแรงจึงเกิดอนุมูลอิสระได้น้อยแม้โดนความร้อน ความจำเป็นที่จะต้องมีวิตามินอีจึงน้อยไปด้วยตามธรรมชาติ
“วิตามินอี” จึงอุปมาเป็น “ตัวช่วย”ที่เป็นเปลือกภายนอกฉาบฉวยที่จะมาช่วยรักษาความสัมพันธ์ทำให้ไม่เลิกรา หย่าร้างกัน เช่น ความผูกพันด้วยธุรกิจ, ความผูกพันด้วยกายภาพ (ความสวยความหล่อ), ความผูกพันด้วยสินสมรส, ความผูกพันด้วยหน้าตาทางสังคม ฯลฯ
ความรักแบบไขมันอิ่มตัว จึงเปรียบเสมือนความรักที่ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาว และฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกันมาก กลายเป็นต้นทุนที่จะรู้จักอดทนและอดกลั้นต่อความร้อนทั้งปวง แม้จะมีการทะเลาะหรือมีปากเสียงกัน จะชราขึ้น หรือจนลง หรือแม้มีมือที่ 3 เข้ามาแทรกแซง ก็ยากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนใจได้ โดยไม่ต้องสนใจตัวช่วยความสัมพันธ์ที่เป็นเปลือกนอกอื่นๆ ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ในทางตรงกันข้าม “ไขมันไม่อิ่มตัว” เป็นความสัมพันธ์ที่อ่อนแอ เจริญเติบโตในที่เย็นกว่า โดยธรรมชาติแล้วจึงมักจะมีวิตามินอีอยู่มากเพื่อเป็นการชดเชย เพื่อให้ของเหลวนั้นหืนยากขึ้น จึงสามารถนำไขมันที่ไม่อิ่มตัวนั้นใช้เป็นพลังงานมากขึ้น ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันรำข้าว ฯลฯ
เปรียบความรักของ “ไขมันไม่อิ่มตัว” ซึ่งมีความผูกพันระหว่างคู่รักกันแบบฉาบฉวย มีความอ่อนแอในพันธะที่มีต่อกัน แต่ตกลงปลงใจผูกพันอยู่กันกันได้ในช่วงแรกด้วย “ตัวช่วย” เช่น ความผูกพันทางธุรกิจ, ความผูกพันด้วยกายภาพ (ความสวยความหล่อ), ความผูกพันด้วยสินสมรส, ความผูกพันด้วยหน้าตาทางสังคม ฯลฯ เปรียบเสมือนวิตามินอีซึ่งมักจะมีมากในไขมันไม่อิ่มตัว
แต่ทว่า ธรรมชาติของวิตามินนั้นสูญสลายง่ายมากด้วย “ความร้อน” ดังนั้นถ้าวิตามินอีหายไปด้วยการผัดททอดด้วยความร้อน ก็เปรียบเสมือน “ความเดือดร้อน” ทำให้ตัวช่วยในความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัวสูญสลายไปด้วย เช่น เกิดการล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัว กายภาพชราเหี่ยวย่นลง เกิดความเสียหายทางสังคม ตัวช่วยที่เป็นเปลือกเหล่านี้เมื่อหมดไปเมื่อไหร่ หรือถูกไฟกิเลสที่มาจากบุคคลภายนอกเข้ามาแทรกแซงเหนือกว่าตัวช่วยที่มีอยู่ เช่น มีคนที่เข้ามาในชีวิตที่ รวยกว่า, หล่อหรือสวยกว่า, หนุ่มหรือสาวกว่า, ดังกว่า ฯลฯ ก็เปรียบเสมือนไขมันที่ไม่อิ่มตัวที่ผัดทอดด้วยความร้อนจนวิตามินหายไป ก็จะเกิดอนุมูลอิสระทันทีเกิดความเสื่อมในความรักจนต้องเลิกราหย่าร้างกัน
ด้วยความอ่อนแอของความสัมพันธ์แบบ “ไขมันไม่อิ่มตัว”ซึ่งเป็นไขมันที่เจริญเติบโตในอุณหภูมิที่เย็นกว่า จึงเปรียบเสมือน คู่ชีวิตที่ครองเรือนโดยไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกันเร็ว ความสัมพันธ์อ่อนแอ จึงให้น้ำหนักกับเปลือกที่เป็นตัวช่วยมากกว่า
ส่วน “ไขมันทรานส์” ก็คือ ผลพลอยได้ที่จะใช้ไขมันไม่อิ่มตัวที่อ่อนแอ มาทำปฏิริยาทางเคมีเติมไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อเลียนแบบไขมันอิ่มตัว ให้คงสภาพให้นานที่สุด แต่ในความเป็นจริงก็ยังเหลือตำแหน่งพันธะคู่ที่อ่อนแอหลงเหลืออยู่ ซึ่งในระหว่างการเติมไฮโดรเจนนั้น ปรากฏว่าไขมันที่ไม่อิ่มตัวที่เหลืออยู่เกิดการบิดตัวบิดโครงสร้าง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดได้มากที่สุด กว่าไขมันชนิดอื่นใด
“ไขมันทรานส์” จึงเปรียบเสมือนความรักที่ “สร้างภาพ”เพราะต้องการให้เชื่อว่าความรักนั้นจะยังคงอยู่ต่อไปด้วยตัวช่วยอย่างอื่น คนเหล่านี้มักจะคิดหาทางผูกมัดคู่รักให้แน่นหนาขึ้นเลียนแบบคนที่มีความรักแบบอิ่มตัว บางคนรู้ว่าความชราอาจะทำให้ความรักแบบไม่อิ่มตัวเสื่อมสลาย จึงใช้การศัลยกรรมเข้าช่วย ผ่าตัดเสริมหน้าอก โบท็อกซ์ ร้อยไหม เพื่อรักษาสังขารอันเป็นเปลือกหุ้มความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัวเอาไว้ให้นานที่สุด หรือบางคนกู้หนี้ยืมสินใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อปรนเปรอชีวิตว่ายังร่ำรวยว่าจะไม่มีวันจนเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ให้ได้ หรือแม้แต่บางคนก็โกหกใช้ข้ออ้างเรื่องตั้งครรภ์ทั้งๆที่ไม่มีลูกจริง เพื่อเป็นเครื่องมือผูกมัดให้ฝ่ายชายรับผิดชอบ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรักต่อกันเลย
การสร้างภาพความรักแบบไขมันทรานส์เหล่านี้ มีต้นทุนที่ต้องแลก บางคนมีหนี้สินล้นพ้น เพราะใช้จ่ายเกินตัว บางคนเสื่อมเสียสุขภาพและความปกติสุข บางคนถูกสังคมจับได้โป๊ะแตกจนต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทั้งหมดก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมเพราะต้องเจ็บปวดกับความรักผูกพันกันด้วยความอ่อนแอ ก็เพราะไขมันทรานส์ก็ยังเหลือตำแหน่งไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งอ่อนแออยู่นั่นเอง
ประการสำคัญที่มาพร้อมกับเรื่องไขมันก็คือ “คอเลสเตอรอล” ซึ่งองค์ประกอบของคอเลสเตอรอลนั้นมีหลายหน้าที่เปรียบเสมือนลูกๆในครอบครัว
โดย HDL มีหน้าที่นำคอเลสเตอรอลตามหลอดเลือดและคอลเลสเตอรอลส่วนอื่นๆ ส่งไปยังที่ตับและอวัยวะต่างๆ เพื่อไปสังเคราะห์สิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านการอักเสบ ฮอร์โมนต้านความเครียด เยื่อหุ้มเซลล์ สมอง ฉนวนหุ้มปลายประสาท วิตามินดี
HDL จึงมักถูกเรียกว่าคอเลสเตอรอลชนิดดี หรือไขมันชนิดดี ถ้าเปรียบเสมือนลูกคนนี้จะมีความสามารถมาก มักจะออกไปทำงานนอกบ้านหาเงินเลี้ยงครอบครัวเป็นประจำ แต่ไม่มีเวลาดูแลงานบ้าน ถือว่าเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง เป็นลูกที่มีชื่อเสียงดีเป็นที่รู้จักในสังคมในแง่ดี
ส่วน LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่อยู่ตามหลอดเลือด ซึ่งมักถูกประณามว่าเป็นไขมันตัวเลว หรือ คอเลสเตอรอลเลว ก็เพราะมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสาเหตุทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วคอเลสเตอรอลกลุ่มนี้ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเยียวยาความเสียหายของหลอดเลือด อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้มีการแยกแยะได้ในรายละเอียดมากขึ้นว่า LDL ชนิดไหนไม่เป็นสัญญาณอันตรายต่อหลอดเลือด และ LDL ชนิดไหนคือสัญญาณที่เป็นอันตรายต่อหลอดเลือด
LDL ถ้าเปรียบเสมือนลูก ก็เป็นลูกที่อยู่ประจำแต่บ้าน เมื่ออยู่ประจำบ้านก็ทำความสะอาดในบ้าน ช่วยซ่อมอุปกรณ์ที่เสียในบ้านไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า หรือน้ำประปา เมื่อเห็นสีทาฝาบ้านชำรุด ก็ลอกสี ขัดสีและทาสีใหม่ แถมบางครั้งยังต้องดูแลความเป็นอยู่ให้กับพ่อแม่ด้วย และความเป็นช่างประจำบ้านจึงดูเนื้อตัวไม่สะอาด สกปรกมอมแมม ทำงานบ้านก็มีเสียงดังประจำด้วยเครื่องดูดฝุ่น ตอกตะปู ใช้สว่านเจาะ ฯลฯ คนในหมู่บ้านจึงนิยมยกย่องลูกที่เป็น HDL มากกว่า และมักจะมองลูกที่เป็นเหมือน LDL ว่าเป็นกาฝากในบ้าน ไม่มีประโยชน์ ยิ่งทำเสียงดังมาก ยิ่งทำงานมากก็ยิ่งเป็นสัญญลักษณ์แสดงถึงความทรุดโทรมที่อยู่ในบ้านมาก
ด้วยครอบครัวที่มีความรักแบบไขมันอิ่มตัว (น้ำมันมะพร้าว, นม, ชีส, เนย) ครอบครัวเหล่านี้จึงมักจะมีลูกมาก มีทั้งลูกที่เป็นลักษณะทั้ง HDL และ LDL เปรียบเทียบกับคนที่มีคอเลสเตอรอลสูง เป็นครอบครัวที่เป็นครอบครัวใหญ่ อบอุ่น แม้พ่อแม่อายุมากขึ้นแล้ว ลูกๆก็มีความกตัญญูรู้คุณดูแลพ่อมแม่ ไม่ยอมแยกย้ายไปไหน
ต่างจากครอบครัวที่มีความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัว ครอบครัวเหล่านี้ทะเลาะเบาะแว้งเป็นประจำ บางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันด้วย ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ดีจึงมีจำนวนลูกโดยรวมน้อยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกๆชนิด HDL ที่มีความสามารถในการหารายได้เลี้ยงครอบครัว ทนการทะเลาะเบาะแว้งในบ้านไม่ได้ จึงหนีออกจากบ้านเป็นส่วนใหญ่
คงเหลือแต่ลูกๆส่วนใหญ่ชนิด LDL ที่คอยดูแลความเรียบร้อยในบ้าน แต่เมื่อพ่อแม่ใช้กำลังทะเลาะ ทำลายทรัพย์สินในบ้านและแตกแยกเป็นประจำ ลูกๆที่เป็น LDL ก็ต้องซ่อมแซมความเสียหายในบ้านเป็นประจำ แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นลูกที่ไม่เอาไหน ไม่มีชื่อเสียง ทำเสียงดังในบ้าน เนื้อตัวสกปรก แต่ด้วยเพราะครอบครัวมีปัญหาไม่อบอุ่น ลูกๆที่เป็น LDL ก็พลอยไปเป็นเด็กมีปัญหาไปด้วย บางครั้งเมาสุรา บางครั้งติดยาเสพติด บ้านจึงทรุดโทรมเสียหาย เหมือนเกิดอนุมูลอิสระมากในหลอดเลือดโดยไม่มีใครไปช่วยซ่อมหลอดเลือดได้
ในที่สุดแล้วเมื่อเข้าสู่วัยชราปรากฏว่าครอบครัวที่มีความรักแบบไขมันอิ่มตัว จะมีความอบอุ่นมาก แม้ในยามแก่เฒ่า ลูกๆก็ยังมาดูพ่อแม่ตามความถนัดของตนเอง ลูกๆ ที่เป็นแบบ HDL ทำงานนอกบ้านออกไปทำสัมมาอาชีพมาดูแลพ่อแม่ได้อย่างมีความสุข ลูกๆ ที่เป็นแบบ LDL บางคนที่ทำงานในบ้านก็ดูแลพ่อแม่และทำความสะอาดบ้านได้น่าอยู่และมีความสุข เปรียบเสมือนผู้สูงวัยที่มีคอเลสเตอรอลมากและลดลงช้าที่สุด คือคนที่อายุยืนที่สุด
ตรงกันข้ามกับครอบครัวที่มีความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัว เมื่ออายุขัยมากขึ้นลูกๆ จะหนีจากครอบครัวไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ แบบ HDL และ LDL เพราะเบื่อหน่ายกับการทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัวด้วย สุดท้ายคือลูกๆ ที่ออกจากบ้านไปทำงานหาเลี้ยงพ่อแม่น้อยลง ในขณะที่ลูกๆ ชนิด LDL ก็เบื่อไม่กลับบ้านมาเช่นกัน ผลที่ได้คือบ้านทรุดโทม ไม่มีใครมาสนใจดูแล เปรียบเสมือนผู้สูงวัยที่มีคอเลสเตอรอลลดลงเร็วที่สุด คือคนที่จะอายุสั้นที่สุด
คู่รักที่มีความรักแบบ “ไขมันไม่อิ่มตัว” หรือไม่ก็เป็นแบบ “ไขมันทรานส์” จึงมีความอิจฉาตาร้อนความรักแบบไขมันอิ่มตัว เหมือนตัวร้ายในละครน้ำเน่าของไทยที่ว่า เมื่อครอบครัวตัวเองไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะมีความสุขได้ กลุ่มคนที่มีความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัว และไขมันทรานส์ จึงต่างพยายามใส่ร้ายป้ายสี โจมตีว่าความรักแบบไขมันอิ่มตัวไม่ดี ทำให้มีลูกมาก เมื่อมีลูกมากจะยากจน ลูกที่ออกไปทำงานนอกบ้านก็ไม่รู้จักดูแลพ่อแม่ ลูกที่ดูแลพ่อแม่ก็เป็นกาฝากไม่รู้จักทำงานนอกบ้าน ส่งเสียงดังเคาะนั่นเจาะนี่ประจำ น่ารำคาญ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วครอบครัวที่มีความรักแบบไขมันอิ่มตัวนั้น สุขทั้งกาย สบายทั้งจิตดี
ในขณะที่ความรักแบบไขมันไม่อิ่มตัว และไขมันทรานส์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ เมื่อเข้าสู่วัยชรา ลูกหลานก็หนีไปหมด ปล่อยให้ชราและเหงาทะเลาะกันอยู่ใบ้านที่ทรุดโทรมตลอดเวลา อย่างน่าเวทนายิ่งนัก
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย
มหาวิทยาลัยรังสิต